วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก เตียวคับ จวิ้นไอ่

ประวัติสามก๊ก เตียวคับ จวิ้นไอ่

ในสมัยที่โจโฉเรืองอำนาจนั้น เขามียอดขุนพลผู้เก่งกาจอยู่ใต้บัญชามากมาย แต่ละคนล้วนแล้วแต่เก่งกาจและเชี่ยวชาญต่างกันไป ต่างก็สร้างผลงานและวีรกรรมเอาไว้มากน้อยต่างกัน ชื่อของแฮหัวตุ้น เตียวเลี้ยว เคาทู นั้นเป็นที่รู้จักแก่คนอ่านสามก๊กจำนวนมาก แต่เมื่อหมดยุคของขุนพลเหล่านี้ไป วุยก๊กของโจโฉก็เริ่มถึงคราวเสื่อมถอน และหากถามว่าใครคือขุนพลคนสุดท้ายที่มีอายุอยู่ยืนนานที่สุดในรุ่นเหล่านั้นละก็ คนผู้นั้นก็คือขุนพลที่มีนามว่าเตียวคับ

เตียวคับเป็นขุนพลที่เริ่มมามีชื่อเสียงปรากฏในสามก๊กก็เมื่อช่วงที่ขั้วอำนาจเริ่มแบ่งเป็นสามแล้ว เขาไม่ได้เป็นขุนพลที่อยู่กับโจโฉมาแต่เริ่ม แต่เป็นนายทหารที่มาสวามิภักดิ์เอาในช่วงที่โจโฉพิชิตชัยต่ออ้วนเสี้ยวและครองตงง้วนได้ ซึ่งหากลองไล่ดูเหล่าขุนพลชื่อดังของโจโฉแล้ว ส่วนมากจะเป็นพวกที่ร่วมงานกับโจโฉมาแต่แรก หรือไม่ก็เข้าร่วมกับโจโฉในช่วงที่ยังไม่อาจพิชิตตงง้วนได้ แต่เตียวคับนี่นับว่าแตกต่างไป

เขาเป็นผู้มีทีหลัง ชื่อเสียงและวีรกรรมก่อนนั้นก็มิได้ใหญ่โตระบือแผ่นดิน แต่สุดท้ายแล้วเขากลับสามารถจะนำชื่อของตนเข้าไปบรรจุร่วมกับเหล่าขุนพลชั้นนำของยุคได้ และยังได้กลายมาเป็นขุนพลที่เป็นเสาหลักค้ำบัลลังก์ของราชวงศ์วุยในภายหลังอีก

ในประวัติศาสตร์สามก๊กนั้นระบุว่า เตียวคับเป็นผู้ที่สร้างความหวั่นเกรงแก่ขงเบ้ง และเล่าปี่ก็ประเมินค่าเอาไว้อย่างสูง ถ้าเช่นนั้นลองมาดูเรื่องของขุนพลผู้นี้กัน


ประวัติโดยย่อ

เตียวคับ ชื่อรองว่า จวิ้นไอ่ เกิดเมื่อปีค.ศ. 167 แต่บางฉบับก็ว่า 168 เป็นชาวตำบลเจิ้น เมืองเหอเจียน มนฑล เหอเป่ย

เขาเกิดมาในช่วงที่แผ่นดินกำลังวุ่นวานจากการลุกฮือของโจรผ้าเหลืองพอดี โดยในวัยเด็กนั้นประวัติไม่แน่ชัด รู้เพียงว่าเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น เขาได้สมัครเข้าเป็นทหารในสังกัดของ ฮันฮก ผู้สำเร็จราชการมนฑลกิจิ๋ว เพื่อร่วมปราบปรามโจรโผกผ้าเหลือง

ผลงานการปราบปรามโจรผ้าเหลืองของเตียวคับนั้นเตะตามาก และเมื่อเสร็จสิ้น เขาก็ได้อยู่รับราชการกับฮันกฮกต่อ และเมื่อฮันฮกเข้าร่วมกับพันธมิตรกวนตงเข้าทำศึกกับตั๋งโต๊ะ เขาก็ได้เข้าร่วมด้วย จนกระทั่งเมื่อพันธมิตรสลายตัว อ้วนเสี้ยวซึ่งขณะนั้นเป็นผู้มีบารมีสูงสุดในเหล่าขุนศึก หากแต่ยังไร้ที่มั่น ซึ่งการจะทำการใหญ่นั้น จำต้องมีที่มั่นอันแข็งแกร่ง อ้วนเสี้ยวจึงได้คิดชิงเอากิจิ๋วมาจากฮันฮก และเมื่ออ้วนเสี้ยวตีฮันฮกจนแตกแล้ว เตียวคับก็ได้สวามิภักดิ์ต่ออ้วนเสี้ยว

เมื่อมาอยู่กับอ้วนเสี้ยว เขาก็ได้รับมอบตำแหน่งแม่ทัพและได้รับมอบให้ไปทำศึกกับ กองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง เพื่อเป็นการชี้ว่าใครจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคเหนือ ซึ่งเตียวคับก็ได้นำทหารเข้าต่อสู้ สร้างผลงานได้อย่างห้าวหาญจนได้กลายเป็นแม่ทัพสำคัญของอ้วนเสี้ยว และมีเกร็ดเล่ากันว่า ในการศึกระหว่างอ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านนั้น ผู้ที่สามารถต้านทานจูล่งแห่งเสียงสาน ยอดขุนพลของฝ่ายกองซุนจ้านเอาไว้ได้ ไม่ใช่งันเหลียงหรือบุนทิว หากแต่เป็นเตียวคับผู้นี้เอง

อ้วนเสี้ยวพอใจในความสามารถและความห้าวหาญของเตียวคับ ภายหลังเมื่ออ้วนเสี้ยวสามารถตีกองซุนจ้านจนพ่ายแพ้และผงาดขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคเหนือได้นั้น ก็ได้แต่งตั้งให้เตียวคับเป็น “ แม่ทัพพิทักษ์วัง”

ในปีค.ศ. 200 โจโฉผู้สามารถพิชิตลิโป้ อ้วนสุด ลิฉุย กุยกี จนกลายเป็นผู้ครองครองภาคกลางได้นั้น ก็เริ่มแผ่ขยายอำนาจมายังภาคเหนือ นั่นทำให้การศึกระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองระเบิดขึ้น และได้กลายเป็นศึกใหญ่หนึ่งในสามของสามก๊ก นั้นคือศึกกัวต๋อ

อ้วนเสี้ยวได้เปรียบเหนือโจโฉทุกทาง แม้ว่าโจโฉจะกุมฮ่องเต้ไว้ ทำให้มีอำนาจบัญชาเหล่าขุนศึก แต่มันก็แทบจะไม่มีผลนักในศึกนี้ เมื่ออ้วนเสี้ยวสามารถระดมทหารทั้งหมดมารวมศูนย์จัดการกับโจโฉได้ ในขณะที่โจโฉไม่อาจทำเช่นนั้น เพราะต้องแบ่งกองกำลังของตนไปรับมือตามจุดต่างๆที่อยู่ติดกับเหล่าขุนศึกอื่นๆ

ทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันที่ท่าแปะแบ๊และทำศึกกันหลายครั้ง ในครั้งที่3 อ้วนเสี้ยวยกกองทัพใหญ่ ทหาร 7 แสนคนไปตั้งอยู่ที่ตำบลบู๊เอี๋ยง ส่วนโจโฉตั้งรับอยู่ริมแม่น้ำฮวงโห มีกำลังเพียง 7 หมื่น เมื่อต่างมาประจันหน้ากันแล้ว โจโฉก็ส่งเตียวเลี้ยวออกรบ อ้วนเสี้ยวจึงได้ส่งเตียวคับออกไปรับมือ

เตียวเลี้ยวเป็นยอดขุนพลผู้เก่งกล้าที่โจโฉได้ตัวมาจากลิโป้ ฝีมือยุทธ์ของเขานั้นจัดว่าสู้ได้ทัดเทียมกับกวนอู แต่เตียวคับก็ไม่ได้หวั่นเกรงและได้เข้าสู้กันอย่างดุเดือดถึง 50 เพลง ไม่มีใครแพ้ชนะ โจโฉเห็นแล้วถึงกับอดชมเตียวคับไม่ได้ว่ามีฝีมือเข้มแข็งและกล้าหาญ

หลังจากนั้นเมื่อโจโฉถอยทัพไปตั้งมั่นที่กัวต๋อ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวก็ระดมยิงธนูใส่ทั้งวัน แต่ก็ไม่อาจทำให้โจโฉยอมแพ้ได้ ในที่สุดสถานการณ์ก็พลิกผัน เมื่อเขาฮิว ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวได้แปรพักตร์ไปอยู่กับโจโฉ และได้ช่วยบอกตำแหน่งเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าให้โจโฉทราบ และนั่นทำให้โจโฉนำกำลังทหารจำนวนน้อยลอบเข้าตีค่ายเสบียงที่นั่นจนแตก และส่งผลให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เตียวคับร่วมกับโกลำ ได้ขออาสาต่ออ้วนเสี้ยว นำทหารไปแก้ไขสถานการณ์ แต่กัวเต๋าที่ปรึกษาคนสนิทอีกคนของอ้วนเสี้ยว ได้แนะให้ยกทัพไปตีค่ายใหญ่ของโจโฉแทน แม้เตียวคับจะค้านเพราะเห็นว่าโจโฉน่าจะเตรียมการรับมือไว้แล้วก็ไม่เป็นผล และต้องทำตามคำสั่ง ซึ่งผลคือเตียวคับกับโกลำก็ต้องพ่ายแพ้กลับมาจริง เพราะโจโฉเตรียมการรับมือไว้

กัวเต๋านั้นกลัวว่าอ้วนเสี้ยวจะลงโทษที่แผนของตนผิดพลาด จึงหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี เตียวคับ กับโกลำว่าที่ตีค่ายของโจโฉไม่สำเร็จก็เพราะทั้งคู่คิดเอาใจออกห่าง น่าแปลกที่อ้วนเสี้ยวเชื่อกัวเต๋าอย่างง่ายดายทั้งที่ในกลุ่มเสนาธิการสองสายของอ้วนเสี้ยวอันประกอบด้วยกลุ่มของเตียนห้อง จอสิว กับ กลุ่มของกัวเต๋านั้น กัวเต๋าจัดว่าเป็นอันดับรองลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้น อ้วนเสี้ยวจึงส่งคนให้ไปตามเตียวคับกับโกลำให้มารับโทษ

เตียวคับและโกลำนั้นคิดว่าหากกลับไปคงถูกใส่ไฟจนต้องโทษประหารแน่ และเบื่อหน่ายในความโลเล ไม่เด็ดขาดและหูเบาของอ้วนเสี้ยว ทั้งสองจึงตัดสินใจลอบหนีรวบรวมคนของตนแหกค่ายออกไปในยามวิกาลและเข้าไปสวามิภักด์กับโจโฉแทน

ก่อนหน้านี้อ้วนเสี้ยวได้เสียแม่ทัพสำคัญอย่างงันเหลียงและบุนทิวไปในสมรภูมิแล้ว แม่ทัพที่มีความสามารถในการบัญชากองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมและมีฝีมือกล้าแข็งก็เหลือเพียงเตียวคับ เมื่อต้องมาเสียเขาไปอีกคน กองทัพของอ้วนเสี้ยวก็ยิ่งเสียกำลังใจลงไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้แก่โจโฉ

โจโฉพอใจในตัวเตียวคับอยู่แล้ว และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ จากนั้นก็ได้ร่วมติดตามโจโฉไปทำศึกรวบรวมแผ่นดินทางภาคเหนือ เตียวคับได้สร้างผลงานบุกยึดเมืองเงียบกุ๋น พิชิตอ้วนถำบุตรอ้วนเสี้ยวลงได้ โจโฉพอใจในผลงานของเขาจึงแต่งตั้งให้เขาเป็น “แม่ทัพปราบอนารยชน”

โดยโจดฉใช้ให้เขาเป็นทัพหน้าร่วมกันกับเตียวเลี้ยวในการออกปราบปรามชนเผ่าฮูหวนที่นอกด่านจนราบคาบ ทำให้ชื่อของเตียวคับได้รับการยอมรับในฐานะขุนพลคนสำคัญของวุยเช่นเดียวกับเหล่าขุนพลในยุคแรกเริ่มของโจโฉ

ในปีค.ศ. 208 โจโฉซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งมหาอุปราชและยึดอำนาจการปกครองเหนือตงง้วนได้ทั้งหมด ก็มุ่งหวังที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น และนำกองทัพใหญ่มุ่งลงใต้เพื่อยึดเกงจิ๋วจากเล่าเปียว และก็ได้เปิดศึกเซ็กเพ๊กกับซุนกวนแห่งกังหนำ แต่ในศึกนี้ โจโฉได้พ่ายแพ้และต้องล่าถอยกลับมา ทำให้สูญเสียดินแดนเกงจิ๋วตอนล่างไปจนหมด

ในปีค.ศ. 211 ม้าเฉียวแห่งเสเหลียงได้ก่อกบฏขึ้น และยกทัพเข้าตีเตียงอัน โจโฉจึงส่งเตียวคับให้ไปประจำทางภาคเหนือเพื่อรับศึกม้าเฉียว และโจโฉก็ได้เข้าร่วมเองในภายหลังจนสามารถเอาชัยต่อม้าเฉียวได้ โจโฉก็มุ่งที่จะเข้ายึดและขยายอำนาจไปยังดินแดนทางตะวันตก จึงได้ตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเป็นทัพหน้าในการบุกไปยึดเมืองฮั่นจงของเตียวลู่

ทั้งสองได้ตั้งค่ายอยู่หน้าด่านเองเปงก๋วน แต่ก็พลาดท่าถูกข้าศึกบุกปล้นค่ายแตกหนีกลับไป โจโฉโกรธมากและเกือบจะสั่งประหารชีวิต แต่เหล่าแม่ทัพและเสนาธิการได้ขอชีวิตไว้ โจโฉจึงให้ทั้งคู่ออกศึกแก้ตัวอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ใช้กลยุทธ์เข้าช่วย โดยโจโฉนั้นทำเป็นถอยทัพหลวง ลวงให้เอียวหงง แม่ทัพของเมืองฮั่นจงทิ้งค่ายและนำทัพติดตามโจโฉไปในช่วงสามยามเศษ ซึ่งหมอกลงอย่างหนักมาก แฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับ ก็อาศัยช่วงนั้น นำทัพฝ่าหมอกเข้าไปเจอค่ายของเอียวหงงเข้า แต่พวกทหารในค่ายนึกว่าเป็นพวกเดียวกันเลยเปิดประตูรับ ทั้งสองเห็นแบบนั้นจึงเข้าบุกโจมตีอย่างสายฟ้าแลบและเผ้าค่ายทิ้ง ด้านเอียวหงงที่เห็นแสงไฟไหม้ค่ายของก็ตกใจและรีบถอนกลับมาเพื่อคิดแก้ไข แต่ก็ต้องมาเจอกับเตียวคับเข้า และเตียวคับก็เอาทวนแทงเอียวหงงตกม้าตายได้ จากนั้นเตียวคับก็อาศัยความฮึกเหิมในตอนนี้ นำทหาร 5 พันคน บุกต่อไปอย่างรวดเร็วจนเข้าตีด่านเองเปงก๋วนแตก ทำให้ทัพหลวงของโจโฉเข้าประชิดเมืองฮั่นจงและยึดเมืองได้สำเร็จ จากนั้นโจโฉก็แต่งตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับอยู่รักษาฮั่นจง นับว่าเป็นผลงานครั้งสำคัญของเตียวคับ

จากนั้นเมื่อโจโฉขึ้นเป็นวุยอ๋อง เตียวคับก็ได้รับการยกย่องเข้าเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของวุยอันประกอบไปด้วย เตียวเลี้ยว ซิหลง เตียวคับ อิกิ๋ม งักจิ้น

ในปีค.ศ. 217 ไม่นานหลังจากยึดฮั่นจงได้ เล่าปี่ที่เพิ่งจะยึดเสฉวนก็ตั้งเป้ามาที่ฮั่นจงเช่นกัน เพราะเมืองนี้จะมีความสำคัญอย่างมากในอนาคตสำหรับฝ่ายโจโฉและเล่าปี่ ซึ่งทั้งสองต่างก็ต้องการที่จะยึดมาให้ได้อย่างเด็ดขาดเพื่อใช้เป็นปราการส่วนหน้าในการป้องกันอีกฝ่าย

โจโฉได้ส่งโจหองมาช่วยเฝ้ารักษาเมืองฮั่นจง โจหองจึงให้แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับอยู่รักษาด่านทางทุกตำบลเอาไว้ โดยทางเล่าปี่นั้นส่งเตียวหุยและม้าเฉียวให้มาตั้งมั่นที่ปาเสเตรียมจะรุกเข้าฮั่นจง โดยเตียวหุยให้ม้าเฉียวรุกเข้ามาทางตำบลแฮเปียน

ม้าเฉียวให้งอลันและงิมเอ๋งเป็นกองหน้าลาดตระเวน ทั้งสองได้พบกับทัพของโจหองแต่ด้วยความที่อยากจะเข้าตีฝ่ายโจหองก่อนแล้วค่อยกลับไปรายงาน งิมเอ๋งจึงออกรบกับโจหองและถูกสังหาร งอลันต้องรีบกลับมาแจ้งต่อม้าเฉียว

ม้าเฉียวโกรธมาก และทำหนังสือแจ้งไปทางเสฉวนและเตียวหุยที่ปาเสให้ทราบ จากนั้นทัพของโจหองก็ออกรบสังหารทหารฝ่ายม้าเฉียวไปมาก แต่ม้าเฉียวยังนิ่งและไม่ยอมออกมารบ โจหองกลัวว่าจะเป็นอุบายจึงถอนกำลังกลับ

เตียวคับว่าเหตุใดต้องถอนกลับ โจหองจึงว่ากลัวจะเป็นแผนของม้าเฉียว เตียวคับจึงเสนอที่จะยกทัพเข้าทางลัดไปตีเอาปาเสที่เตียวหุยเฝ้าอยู่ แต่โจหองทัดทานไว้เพราะเห็นว่าเตียวหุยมีฝีมือในการรบสูงเป็นที่เลื่องลือ เตียวคับว่าความคิดอ่านของเตียวหุยเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ไม่ต้องกลัวอันใด แล้วก็จัดแจงนำทัพออกไปเข้าประชิดทางแฮเปียน แต่ม้าเฉียวก็ยังคงไม่ออกมารบด้วย เตียวคับจึงทำตามแผนที่คิดไว้คือยกทัพเข้าทางลัดเพื่อตีเมืองปาเส ซึ่งหากตีเมืองปาเสได้ เสฉวนก็อยู่เพียงแค่ปลายจูมกแล้ว เพราะขณะนั้นปาเสถือเป็นด่านหน้าสุดของฝ่ายจ๊กก๊ก

แต่เตียวคับก็ต้องพบกับเรื่องที่เขาไม่คาดคิด เพราะผลจากการที่เขาประเมินค่าเตียวหุยว่าเป็นเพียงขุนพลดีเดือดที่มีดีแค่พละกำลัง เขาจึงได้เสียเชิงเตียวหุยจนกลายเป็นความพ่ายแพ้ที่ผู้คนจดจำถึงตัวเขามากที่สุดในสามก๊ก

เรื่องคือ เมื่อเตียวหุยรู้ความเคลื่อนไหวของเตียวคับที่ได้ตืบจะเอาศอก คิดนำกำลังเข้าทางลัดเพื่อยึดปาเส เขาปรึกษากับลุยต๋องที่เป็นรองแม่ทัพวางแผนจะตลบหลังเตียวคับ ด้วยการให้ลุยต๋องยกทหารห้าพันไปซุ่มอยู่นอกเมือง ส่วนเตียวหุยนั้นยกทัพออกมาท้ารบกับเตียวคับและด่าว่าจนเตียวคับโกรธ ยกทัพออกมาสู้ด้วย ทั้งสองสู้กันได้พักใหญ่ ทัพของลุยต๋องก็ตีเข้าตัดท้ายเข้าไปสังหารทหารของเตียวคับไปมาก จนเขาต้องถอนทัพกลับไปตั้งมั่นที่ค่ายเพ็กเงียม

เตียวหุยหมายจะตีค่ายของเตียวคับให้ได้ เพื่อจัดการให้เส็รจในคราเดียว จึงยกทัพออกมาร้องด่าว่าเตียวคับทุกวัน แต่เตียวคับก็ไม่ยอมออกมารบและตั้งมั่นอย่างหนาแน่น เตียวหุยไม่อาจจะตีแตกได้ เขาจึงคิดแผนลวงขึ้นเพื่อเล่นงานเตียวคับจนเสียเชิงในครานี้

เตียวหุยทำเป็นดื่มสุราและออกมาร้องด่าเตียวคับทุกวัน กองทหารเสบียงที่มาส่งเสบียงให้เตียวหุยเห็นเตียวหุยดื่มสุราแล้วออกไปด่าเตียวคับทุกวัน และวินัยทหารก็หย่อนๆไป จึงกลับไปแจ้งต่อเล่าปี่ ซึ่งขงเบ้งอ่านออกว่าเป็นแผนลวงข้าศึกของเตียวหุย จึงบอกให้เล่าปี่จึงส่งอุยเอี๋ยนให้มาส่งสุราเพิ่มและส่งสารว่าให้เร่งทำศึกเอาชนะให้ได้

เตียวหุยจึงสั่งการต่ออุยเอี๋ยนที่นำทัพหนุนมาว่า หากเห็นเรายกธงแดงขึ้นเมื่อใดให้คุมทหารเข้าตีกับเตียวคับทันที แล้วทำหุ่นรูปเหมือนเตียวหุยซ่อนไว้ พอเวลาเย็นก็ให้ทหารเอาสุราอาหารมาเลี้ยงกันในค่าย

ฝ่ายข่าวของเตียวคับที่ออกมาสืบข่าวกลับไปแจ้งเตียวคับ จึงคิดว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะลอบเข้าตีค่ายของเตียวหุย ในคืนนั้นเตียวหุยให้ทหารเอาหุ่นรูปตนมานั่งทำเป็นดื่มสุราแล้วให้ทหารเข้ามาคอยรัยใช้หลายคน ส่วนตนและอุยเอี๋ยน ลุยต๋องเตรียมซุ่มทหารไว้ เมื่อเตียวคับนำทหารจะมาลอบบุกค่าย เห็นหุ่นเตียวหุยแต่ไกลก็คิดว่าเป็นตัวจริงจึงนำทัพเข้ามาถึงตัวหุ่นเตียวหุย เมื่อพบว่าถูกหลอกก็จะรีบหนีออกจากค่ายแต่เตียวหุยก็สั่งให้จุดเพลิงเผาค่ายจนทหารของเตียวคับแตกฮือ แล้วเตียวหุยก็ขี่ม้าออกมารบกับเตียวคับ

ส่วนทางอุยเอี๋ยนและลุยต๋องที่เตียวหุยสั่งให้ซุ่มเตรียมไว้นั้น เมื่อเห็นว่าเตียวหุยเข้ารบกับเตียวคับแล้วทัพของเตียวคับที่เหลือเข้ามาตีกระหนาบ ทั้งสองก็ยกทัพออกตีทหารเหล่านั้นจนแตกพ่าย และเลยไปเข้าตีค่ายของเตียวคับและจุดเพลิงเผา ทางเตียวคับซึ่งเหลือทหารเพียงหนึ่งหมื่นจึงนำทัพของตนมาตั้งหลักที่ด่านอวนเทาก๋วน

เป็นการเสียรู้และพ่ายแพ้อย่างหมดท่าของเตียวคับจริงๆในศึกนี้ อันที่จริงจะบอกว่าเตียวหุยทำได้ยอดเยี่ยมเกินความคาดหมายก็คงจะได้ ด้วยเตียวคับนั้นเป็นขุนพลที่มีประสบการณ์ในการรบโชกโชน ผ่านศึกมามาก และยังมีความห้าวหาญ ฝีมือของเขานั้นเคยสู้อย่างสูสีมาแล้วกับยอดขุนพลของยุคอย่างจูล่งและเตียวเลี้ยว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เกรงกลัวฝีมือยุทธ์ของเตียวหุยเหมือนขุนพลคนอื่นๆ เขาคิดว่าเมื่อตัดเรื่องฝีมือยุทธ์ออกไป เตียวหุยก็เป็นแค่คนบ้าสุราเลือดร้อนคนหนึ่งเท่านั้น

แต่เขาลืมไปอย่างหนึ่งว่า เตียวหุยเองก็เป็นขุนพลผ่านศึกมาไม่น้อยกว่าตัวเขาเช่นกัน และในการศึกที่เตียงปัน รวมไปถึงการศึกเข้ายึดเสฉวน เตียวหุยก็แสดงถึงภูมิปัญญามาแล้วว่าเขามิใช่เป็นเพียงจอมพลัง แต่เป็นขุนพลชั้นยอดได้ และเตียวหุยเองก็พอจะอ่านออกว่าเตียวคับดูแคลนเขาในเรื่องนี้ จึงเอาภาพพจน์ความบ้าสุราของตนมาใช้ประโยชน์ ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าการรู้ความคิดของเตียวคับในครั้งนี้ เข้าหลักพิชัยสงครามซุนหวู่ที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ เตียวหุยถือว่าเข้าถึงหลักนี้ ในขณะที่เตียวคับซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาพิชัยสงครามมา กลับพลาดจุดนี้เสียเอง

จากนั้นทั้งเตียวหุยและเตียวคับก็สู้รบกันที่ด่านเอาเทาก๋วนอย่างหนัก แต่สุดท้ายเตียวหุยก็สามารถรบชนะยึดด่านนี้มาได้และทำให้เตียวคับต้องถอยกลับไปที่ฮั่นจง โดยเหลือทหารเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น

ถึงแม้เตียวคับจะพ่ายแพ้ต่อเตียวหุย แต่เขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น “แม่ทัพปราบปรามกบฎ” และเมื่อทัพใหญ่ของเล่าปี่ยกมาตรึงกำลังไว้ที่ด่านเองเปงก๋วน แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับก็ได้พยายามต้านทานไว้นานเกือบ 1 ปี จนกระทั่งเล่าปี่นำทัพออกจากเองเปงก๋วน และข้ามแม่น้ำไปสร้างค่ายที่เขาเต็งกุนสัน และอาศัยช่วงเวลาที่แฮหัวเอี๋ยนยกทัพไปถึง หวดเจ้งก็ใช้แผนโจมตีจากที่สูง ให้ฮองตงให้เข้าโจมตีลงมาในระหว่างที่แฮหัวเอี๋ยนไม่ทันตั้งตัว สามารถตัดหัวแฮหัวเอี๋ยน และตีทัพของแฮหัวเอี๋ยนจนแตกพ่ายได้

เตียวคับเห็นว่าสถานการณ์อันตราย จึงรีบนำทัพกลับไปที่เองเปงก๋วน บรรดาแม่ทัพนายกองต่างพากันเสียขวัญและวุ่นวายจากการเสียแฮหัวเอี๋ยนที่เป็นแม่ทัพใหญ่ไป โตสิบ และ กุยห้วย สองแม่ทัพของแฮหัวเอี๋ยนจึงรวบรวมทัพที่กระจัดกระจายและทำประกาศไปว่า แม่ทัพเตียวคับนั้นเป็นผู้ที่มีความเก่งกล้าและชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่เล่าปี่ก็ยังหวั่นเกรง ในสถานการณ์แบบนี้พวกเราคงไม่อาจสงบใจได้จนกว่าแม่ทัพเตียวคับจะมาบัญชาการกองทัพเอง

ด้วยเหตุนี้ เตียวคับจึงได้เหล่าแม่ทัพนายกองของทัพแฮหัวเอี๋ยนมาอยู่ในบัญชาของตน และทำการฟื้นฟูขวัญทหาร เรียกขวัญกำลังใจของกองทัพกลับมา จากนั้นเมื่อโจโฉก็นำทัพหลวงตามมาถึงและได้เผชิญหน้าสู้รบกับกองทัพใหญ่ของเล่าปี่อยู่หลายเดือนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดโจโฉก็ตัดสินใจถอยทัพทั้งหมดออกจากฮั่นจงและกลับไปยังเมืองเตียงอัน เป็นอันว่าเล่าปี่สามารถยึดครองเมืองฮั่นจงได้สำเร็จและมีชัยเหนือโจโฉอย่างเด็ดขาดเป็นครั้งแรก

แม้จะแพ้ในศึกนี้ แต่เตียวคับก็ยังเป็นแม่ทัพคนสำคัญเช่นเดิม ภายหลังจากศึกฮั่นจง เล่าปี่เคยนิยามเตียวคับว่าเป็นขุนพลที่มีความสามารถมาก หลังจากนี้ฮองตงสามารถเด็ดหัวแฮหัวเอี๋ยนที่เป็นแม่ทัพคนสำคัญและญาติสนิทของโจโฉมาได้ เล่าปี่กลับว่าหากสามารถเอาหัวของเตียวคับได้จะยิ่งดีกว่า แสดงว่าเล่าปี่ประเมินค่าของเตียวคับไว้สูงมาก และเขาก็ดูไม่ผิดเสียด้วย เพราะในภายหลังจากนี้ประมาณสิบปี เป็นเตียวคับผู้นี้เองที่กลายเป็นขุนพลเสาหลักแห่งวุยก๊กในการต้านทานทัพจ๊กก๊กของขงเบ้ง ซึ่งในประวัติศาสตร์ก็บันทึกว่าตัวขงเบ้งเองก็หวั่นเกรงในตัวเตียวคับผู้นี้มาก

เตียวคับรับหน้าที่เป็นผู้ดูป้องกันการรุกรานจากฝั่งตะวันตก จนในปีค.ศ.220โจโฉก็ได้สิ้นลงโจผีผู้บุตรได้ขึ้นเป็นทายาทสืบต่ออำนาจเป็นวุยอ๋องต่อจากโจโฉ แต่ได้เพียงแค่ 10 เดือนโจผีก็บังคับให้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ สละราชสมบัติ และตั้งราชวงศวุยฮั่นขึ้น สถาปนาตนเป็นพระเจ้าวุยบุ๋นตี้ และสถาปนายศย้อนหลังให้โจโฉเป็นวุยบู๊ตี้ ตัวของเตียวคับก็ยังได้รับความไว้วางใจจากโจผีเช่นเดียวกับโจโฉ โดยโจผีได้เลื่อนตำแหน่งให้เขา เป็น “แม่ทัพฝ่ายซ้าย” มีบรรดาศักดิ์ระดับผู้สำเร็จราชการมนฑล

หลังจากนั้น พระเจ้าโจผีก็ระดมพลยกกองทัพใหญ่มีเรือรบหลายพันลำ หมายบุกยึดง่อก๊ก เตียวคับได้ติดตามร่วมไปทำศึกในครั้งนี้ด้วย แต่ก็ถูกทัพเรือง่อตีจนแตกพ่าย ในศึกนี้ยังได้สูญเสียเตียวเลี้ยวไปด้วย โจผีจึงเลิกคิดทำสงครามขยายดินแดนและหันมาพัฒนาบ้านเมืองแทน

ในปีค.ศ. 227 พระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ โจยอย ผู้บุตรขึ้นเสวยราชสมบัตินาม พระเจ้าวุยหมิงตี้ ทำให้ขงเบ้งซึ่งตอนนั้นเป็นมหาอุปราชแห่งจ๊กก๊ก คิดอาศํยช่วงผลัดแผ่นดิน กรีฑาทัพใหญ่บุกขึ้นเหนือ สร้างความแตกตื่นแก่ชาววุยมาก

เกี่ยวกับศึกครั้งนี้ มีการบันทึกไว้ต่างกัน ในนิยายสามก๊กเล่าว่าผู้ที่ยกกองทัพออกมาต้านทานขงเบ้งก็คือสุมาอี้ แต่ในประวัติศาสตร์กลับบอกว่าเป็นเตียวคับ

โดยหากนับจากที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์นั้นก็คือ เมื่อขงเบ้งได้บุกตีเมืองต่างๆตามรายทางจนมาตั้งค่ายที่เขากิสาน เตียวคับก็นำทหารออกไปตั้งรับ ขงเบ้งจึงส่งม้าเจ็ก แม่ทัพคนสนิทไปรักษาชัยภูมิสำคัญที่เกเต๋ง ซึ่งแทนที่ม้าเจ็กจะนำทหารไปตั้งรักษาอยู่ในเมืองแต่เขากลับนำทหารไปตั้งค่ายอยู่บนเขาแทน เตียวคับเห็นม้าเจ็กไปตั้งค่ายบนเขาก็มีความยินดียิ่งนัก เลยนำทัพออกไปล้อมเขาที่ม้าเจ็กตั้งค่ายอยู่ ทำการตัดเสบียงน้ำ จุดไฟเผา เพื่อให้กองทัพม้าเจ็กอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และบุกเข้าโจมตีอย่างรุนแรง กองทัพม้าเจ็กไม่สามารถต้านทานได้แตกพ่ายย่อยยับและเสียชัยภูมิสำคัญเกเต๋งให้แก่เตียวคับไป

ทัพใหญ่ของขงเบ้งจำต้องถอยกลับ เพราะเกเต๋งคือทางส่งเสบียงที่สำคัญที่สุดของจ๊กก๊ก ถ้าเสียที่มั่นที่นี้ไป จะมีปัญหาด้านการขนส่งเสบียงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฝ่ายขงเบ้งถอยทัพกลับไปแล้ว เตียวคับก็นำทัพเข้ายึดหัวเมืองฝั่งตะวันตกทั้งสามเมืองที่ขงเบ้งยึดไปคืนมาได้ทั้งหมด นั่นคือ หนานอัน เทียนสุย และอันติ้ง

ผลงานอันลือลั่นในการเอาชนะจูกัดเหลียงขงเบ้ง มหาอุปราชแห่งจ๊กก๊กได้สำเร็จครั้งนี้ ทำให้เตียวคับได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าโจยอย มีเนื้อหาดังนี้

“โจรกบฏจูกัดเหลียงแห่งปาจ๊กได้ยกทัพมาบุกรุกเขตขอบขันธสีมาของแดนเรา แต่ข้าก็ได้ท่านแม่ทัพทหารเสือเตียวคับปราบปราม เอาชนะข้าศึกมาได้ ข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตอบแทนคุณงามความดีของท่าน ด้วยการเพิ่มศักดินาจากเดิมที่ท่านมีอยู่ 1,000 ครัวเรือน ให้เพิ่มเป็น 4,300 ครัวเรือน ”

ตรงจุดนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างนิยายและบันทึกประวัติศาสตร์ ซึ่งในนิยายนั้น ศึกนี้เป็นผลงานแจ้งเกิดครั้งสำคัญของสุมาอี้ ที่หลังจากนี้จะกลายเป็นคู่ปรับสำคัญที่ขงเบ้งกินไม่ลงไปอีกหลายปี

จากนั้นไม่นาน ขงเบ้งก็ได้ยกกองทัพขึ้นเหนือเป็นครั้งที่ 2 และได้เข้าบุกตีด่านตันฉอง ซึ่งเป็นศึกแจ้งเกิดของเฮ็กเจียว วีรบุรุษในศึกนี้ของวุย ที่ใช้ทหารสามพันต้านทัพหนึ่งแสนของขงเบ้งไว้ได้ โดยก่อนหน้านี้โจยอยได้ส่งเตียวคับออกมาช่วยทหารที่นั่นตั้งรับ และก็สามารถต้านทานไว้ได้ เพราะในเวลาไม่นานทัพของขงเบ้งก็ขาดเสบียงจนต้องถอยทัพกลับ แล้วเตียวคับก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น “แม่ทัพกองทหารม้า” ควบตำแหน่ง “แม่ทัพกองรถม้าปราบทิศประจิม”

ในศึกครั้งที่สามและสี่ เตียวคับก็ได้เข้าร่วมด้วย โดยในครั้งที่สี่นั้น ในประวัติศาสตร์ได้ระบุว่าคือครั้งที่สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่นำมาเอง

ปีค.ศ. 231 ขงเบ้งแก้ปัญหาเรื่องเสบียงได้ จึงยกทัพมาอีกเป็นครั้งที่ 5 (แต่นักประวัติศาสตร์ยกให้เป็นครั้งที่ 4 เพราะครั้งก่อนหน้านี้แทบไม่ได้รบ) และได้ยกทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่เขากิสาน สุมาอี้รู้ดังนั้นจึงออกมาสกัดทัพขงเบ้งโดยให้เตียวคับเป็นกองหน้า กองทัพจ๊กก็ได้เข้ารบกับกองทัพวุย ที่มีเตียวคับเป็นแม่ทัพหน้าอยู่หลายครั้งหลายครั้ง แต่แล้วลิเงียมซึ่งเป็นขุนนางที่รับผิดชอบด้านการส่งเสบียงของจ๊กไม่สามารถส่งเสบียงให้ขงเบ้งได้ทันกลัวมีความผิด เลยทำอุบายส่งหนังสือลวงว่า พระเจ้าซุนกวนหันไปมีไมตรีกับพระเจ้าโจยอย และจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน ขงเบ้งก็ตกใจรีบถอยทัพกลับไปรักษาเมืองเสฉวนทันที ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำของลิเงียม หรือแท้จริงมีเหตุอันใดเกิดขึ้นกันแน่

สุมาอี้เห็นกองทัพของขงเบ้งเตรียมถอยกลับ จึงสั่งให้เตียวคับเป็นกองหน้าเข้าตามตีทัพหลังของขงเบ้ง แต่เตียวคับปฏิเสธ และเสนอว่าขงเบ้งนั้นเป็นคนละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง เมื่อเขาถอยทัพ ก็ย่อมจะมีการดักซุ่มป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า จึงไม่ควรที่จะตามตีให้เสียทหารไปเปล่าๆ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีการบันทึกไว้ต่างกันอีกเช่นเคยระหว่างนิยายและประวัติศาสตร์ ในนิยายนั้นเล่าว่า เตียวคับนี่เองที่เป็นคนเสนอว่าจะขอยกทัพตามตีขงเบ้ง แต่สุมาอี้ทัดทานไว้ เพราะเห็นว่าเสี่ยงเกินไป ซึ่งเตียวคับก็ไม่ยอมฟัง สุมาอี้จึงยอมให้ไป

ก่อนอื่นต้องมาดูบทบาทของสุมาอี้กันก่อน ในนิยายนั้น ภาพพจน์ของสุมาอี้จะดูดีและมีความเจ้าเล่ห์น้อยกว่าในประวัติศาสตร์อยู่พอตัว อันนี้ไม่ทราบว่าการรัฐประหารในอีกหลายปีหลังมีผลด้วยหรือไม่ แต่ในนิยายนั้นสร้างสุมาอี้มาให้ดูเป็นคนที่มีความซื่อตรงมากกว่าเดิม และลดความร้ายกาจลง

แต่หากเรายึดตามประวัติศาสตร์ สุมาอี้นั้นยืนกรานให้เตียวคับนำทัพไล่ติดตามขงเบ้งไป แม้เตียวคับจะไม่อยาก แต่ก็ต้องทำตาม และก็เป็นอย่างที่เตียวคับคาดไว้ ขงเบ้งทำการซุ่มพลแม่นเกาทัณฑ์ไว้ถึง10,000 คน ที่เนินเขาบอกบุ๋น เมื่อเตียวคับบุกมาถึงก็ถูกจุดไฟปิดทางหนีและระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์พร้อมทั้งทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน เตียวคับจึงถูกทั้งลูกเกาทัณฑ์และก้อนศิลาทับตายอยู่ในซอกเขา พร้อมกับทหารที่ได้ติดตามมาทั้งหมด รวมอายุได้ 64 ปี

เท่ากับว่า สุมาอี้ใช้แผนยืมดาบฆ่าคนในการส่งเตียวคับไปให้ขงเบ้งฆ่า ทำไมต้องทำแบบนี้น นั่นเพราะว่าสุมาอี้มีความคิดที่จะขึ้นมายึดอำนาจในวุยอยู่แต่แรกแล้ว ดังนั้นจำต้องขจัดคนที่จะมาเป็นอุปสรรคไปให้พ้นทาง และในบรรดาขุนพลคนสำคัญของวุยขณะนั้น เตียวคับก็คือแม่ทัพที่เก่งกล้าที่สุด และเป็นแม่ทัพรุ่นบุกเบิกที่ร่วมสู้ศึกมากับโจโฉเป็นคนสุดท้ายที่ยังอยู่ เมื่อหมดสิ้นเตียวคับ สุมาอี้ก็ไม่ต้องหวั่นเกรงผู้ใดอีกในวุยอีกแล้ว และในภายหลังก็ปรากฏว่าสุมาอี้ก็ได้ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจมาจากตระกูลโจจริงๆ

หลังจากเตียวคับตาย พระเจ้าโจยอยได้ทรงระลึกถึงวีรกรรมของเตียวคับ จึงได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังให้เตียวคับเป็น “พระยาแห่งจวง” และให้ลูกชายคนโตของเตียวคับได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา

และนี่ก็คือผู้ที่สมควรถูกเรียกว่าเป็น"ยอดขุนพล" คนสุดท้ายจากในบรรดาขุนพลที่ร่วมการใหญ่และรวบรวมแผ่นดินมากับโจโฉ หลังจากสิ้นเขาไปแล้ว อำนาจทางทหารของวุยก็เริ่มกลายไปเป็นของสุมาอี้อย่างเต็มตัว และนั่นก็คือการนับถอยหลังสู่วันเสื่อมถอยของวุย และในที่สุดวุยก๊กก็ได้แปรมาเป็นจิ้นก๊กในยุคของสุมาเอี๋ยน ซึ่งน่าคิดว่าหากเตียวคับสามารถจะยังมีชีวิตต่อมาได้อีกอย่างน้อยสิบปี ประวัติศาสตร์จะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่

ในนิยายสามก๊กนั้นมักเขียนให้เตียวคับดูเป็นตัวตลกและมักเป็นผู้แพ้ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายเล่าปี่เสมอ ดังนั้นหากวัดแค่ที่นิยาย เตียวคับจึงเป็นเพียงขุนพลชั้นรองลงที่ด้อยกว่าพวกกวนอู เตียวหุย จูล่ง เตียวเลี้ยว หากแต่ในประวัติศาสตร์ ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแท้จริงเขาสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับขุนพลเหล่านั้นเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น