วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก เตียวหุย เอ๊กเต๊ก

ประวัติสามก๊ก เตียวหุย เอ๊กเต๊ก
ประวัติสามก๊ก เตียวหุย เอ๊กเต๊ก

"สามารถเข้าไปเด็ดหัวข้าศึกดุจดั่งหยิบของในถุงย่าม" คำกล่าวนี้ เป็นการเปรียบถึงบุคคลในเรื่องสามก๊กอยู่สองคน

คนแรกคือลิโป้ ผู้เป็นเทพสงครามตอนเปิดฉากสามก๊ก ส่วนอีกคนก็คือชายคนที่กวนอูเคยกล่าวถึงเขาต่อโจโฉว่า เป็นผู้ที่สามารถสู้ศึกได้นับหมื่น นั่นก็คือน้องร่วมสามบานของเขาและเล่าปี่ นามว่าเตียวหุย ซึ่งเป็นผู้ที่คนอ่านสามก๊กรู้จักกันดีในฐานะของนักรบจอมพลังผู้บ้าดีเดือด

ในสามพี่น้องร่วมสาบานที่โด่งดังนั้น เตียวหุยเป็นผู้ที่มีนิสัยบุคลิกโดดเด่นในแง่ของความเป็นคนบ้าดีเดือด มุทะลุและไม่หวาดกลัวใครๆ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ชังความอยุติธรรม เรียกว่านี่คือคนที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้กำราบความชั่วร้ายก็ว่าได้

เตียวหุยนั้นขึ้นชื่อในเรื่องสามก๊กว่าเป็นสิงห์สุรา ซึ่งเมื่อเมาแล้วก็จะอาละวาด ก่อปัญหาหรือทำให้งานเสีย นอกจากนี้ด้วยความมุทะลุเกิดพิกัด จึงเป็นเหมือนคนบ้าที่ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีความภักดีต่อเล่าปี่อย่างมาก

อันที่จริงแล้วเตียวหุยผู้นี้อาจจะไม่โง่เขลาหรือดีแต่ใช้กำลังอย่างที่เรารู้กันก็ได้ หากลองพิจารณาบทบาทและวีรกรรมในการศึกหลายครั้งของเขาแล้ว มีการใช้กลศึกเหมือนเป็นแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการรบคนหนึ่งอยู่ไม่น้อย


ประวัติโดยย่อ

เตียวหุยหรือจางเฟย ชื่อรองเอ๊กเต๊ก เกิดเมื่อปีค.ศ.167 เป็นชาวเมืองอิวจิ๋ว เป็นชาวเมืองจุ่ย จากการปรากฏตัวครั้งแรกในนิยายสามก๊กนั้นเล่าว่าเขาเป็นพ่อค้าขายหมูอยู่ในตลาด

เตียวหุยในวัย 17 ปีเป็นชายที่มีพละกำลังมหาศาลผิดกับคนทั่วไป การปรากฏตัวครั้งแรกนั้นเขาได้พบกับเล่าปี่ในขณะที่กำลังดูป้ายการรับสมัครทหารอาสาไปปราบโจรผ้าเหลือง

ตอนนั้นราชวงศ์ฮั่นตกต่ำถึงขีดสุด เกิดโจรผ้าเหลืองลุกฮือขึ้นทั่วแผ่นดินสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทางการไม่อาจจะปราบปรามได้ จึงได้ออกประกาศรับสมัครทหารอาสาเพื่อจัดการโจรเหล่านี้ เตียวหุยเมื่อได้อ่านป้ายแล้วก็เป็นคนหนึ่งที่มีอุดมการณ์อยากจะช่วยชาติ

ตอนนั้นเขาได้พบกับเล่าปี่โดยบังเอิญ ทั้งสองคุยกันถูกคอจึงชวนกันไปดื่มเหล้าที่ร้านแล้วก็ได้พบกับกวนอูที่นั่น คนทั้งสามที่มีความคิดเหมือนกัน ได้มาเจอกัน รู้สึกถูกคอกันยิ่งนัก จึงพากันไปสาบานที่ใต้ต้นสวนท้อ ก่อเกิดเป็นตำนานการสาบานที่สวนท้ออันโด่งดังและเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องสามก๊ก

ในบันทึกบางฉบับกลับเล่าว่าเตียวหุยกับกวนอูรู้จักกันอยู่ก่อน โดยเตียวหุยนับถือกวนอูเหมือนเป็นพี่ เมื่อได้พบกับเล่าปี่จึงกลายเป็นพี่น้องร่วมกัน ทางกวนอูเองก็ยกย่องเตียวหุยมากว่าสามารถสู้ศึกได้นับหมื่น

เตียวหุยขณะนั้นอายุ 17 ปี มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม จึงเป็นน้องสามและได้ทำผลงานในการปราบโจรผ้าเหลืองร่วมกับพี่ร่วมสาบานทั้งสองได้อย่างดี จนในที่สุดเมื่อทางการมอบตำแหน่งนายอำเภอตุ้นกวนให้เล่าปี่เป็นรางวัลในการปราบโจร เตียวหุยก็ติดตามไปเป็นขุนนางด้วย แต่ก็เป็นได้ไม่นาน เมื่อเล่าปี่ผิดใจกับผู้ตรวจราชการที่ต้องการเงินสินบน ในนิยายเล่าเตียวหุยได้ใช้กำลังเล่นงานผู้ตรวจการจนเละ เล่าปี่จึงสละตำแหน่งแล้วจากไป จากนั้นจึงไปอยู่กับกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป้ง แต่ก็มีการพูดว่าที่จริงแล้วเป็นการเสริมเติมแต่งของหลอก้วนจงที่ต้องการให้เตียวหุยเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชิงชังความชั่วจึงทำให้เตียวหุยมีบทอันดุเดือดในการเล่นงานเจ้าหน้าที่ของทางการเช่นนี้ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นการกระทำที่ออกจะหนักมือไปหน่อย

จากนั้นในปีค.ศ.189 ก็เกิดเหตุตั๋งโต๊ะเข้ายึดอำนาจในเมืองหลวง กองซุนจ้านแห่งปักเป้งได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทัพพันธมิตร สามพี่น้องร่วมสาบานก็เข้าร่วมในศึกนี้

ในการศึกที่ด่านเฮาโลก๋วนกวนอูสามารถสร้างชื่อด้วยการปราบฮังหยง ทหารเอกของตั๋งโต๊ะตาย จากนั้นลิโป้เทพสงครามของยุคคนสนิทของตั๋งโต๊ะจึงถูกส่งออกสู้ศึก โดยที่ทางทัพพันธมิตรได้ส่งคนออกท้าดวลแต่ก็พ่ายแพ้ เตียวหุยซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงนายทหารมือเกาฑัณธ์จึงขอออกศึกบ้างเพื่อหวังสร้างชื่อ

เตียวหุยซึ่งจัดเป็นขุนพลไร้ชื่อสามารถต้านทานลิโป้นักรบอันดับหนึ่งไว้ได้ ในนิยายสามก๊กบรรยายว่าเขาสู้ศึกด้วยความสนุกสนานด้วยซ้ำ จากนั้นเมื่อกวนอูและเล่าปี่เข้าช่วย ลิโป้ก็ล่าถอยไป เป็นการสร้างชื่อให้แก่เตียวหุยในฐานะยอดขุนพลที่มีฝีมือรบเป็นยอด

เมื่อกลับเข้าค่ายพวกเล่าปี่ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก แต่ด้วยความที่พวกเขาไร้ตำแหน่งจึงยังมีผู้คนอิจฉาไม่น้อย ประกอบกับในทัพพันธมิตรเกิดความแตกแยกกัน เพราะเหล่าขุนศึกที่มาในครั้งนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อสร้างภาพพจน์ของตนเองต่อประชาชน ไม่คิดจะขับไล่ตั๋งโต๊ะอย่างจริงจัง ดังนั้นเมื่องตั๋งโต๊ะทำการเผาเมืองหลวงลกเอี๋ยงและย้ายผู้คนไปยังเมืองเตียงฮัน แทนที่พันธมิตรจะไล่ติดตามกลับเอาแต่ฉลองชัยชนะอยู่ภายในค่าย

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งต้องขึ้นกับกองซุนจ้านนั้นได้ติดตามกองซุนจ้านกลับไปยังถิ่นทางเหนือของตัวเอง และจากนั้นไม่นานทัพพันธมิตรก็แยกสลายกันไป

จากนั้นไม่นานกองซุนจ้านก็เกิดผิดใจกับอ้วนเสี้ยวเพราะอ้วนเสี้ยวได้สังหารน้องชายของเขาตาย โดยเรื่องคืออ้วนเสี้ยวได้ส่งหนังสือลวงไปให้กองซุนจ้านช่วยกันตีฮันฮกแห่งกีจิ๋วเพื่อแบ่งดินแดนกัน จากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ลวงฮันฮกว่าจะยกทัพมาช่วยแต่กลับเข้าจู่โจมเมืองกิจิ๋วจนแตกพ่ายและจับฮนฮกสังหารและได้ครอบครองดินแดนกิจิ๋วทั้งหมด กองซุนจ้านเมื่อรู้เรื่องจึงเดินทางมาเพื่อขอส่วนแบ่งแต่กลับถูกอ้วนเสี้ยววางกำลังทหารดักซุ่มและน้องกองซุนจ้านก็ตายไปในระหว่างที่กำลังหนีตาย

ตอนที่กองซุนจ้านกำลังหนีอย่างหัวซุกหัวซุนนั้นก็ได้อัศวินขี่ม้าขาวไร้ชื่อนามจูล่งมาช่วยไว้ และเมื่อพวกเล่าปี่ซึ่งเป็นกองหนุนไปสมทบ ก็ได้ช่วยเอากองซุนจ้านจนรอดจากความตายและกลับสู่ที่มั่นได้

ต่อมาหลังจากนั้นที่เมืองชีจิ๋ว โตเกี๋ยมเจ้าเมืองได้ส่งสาส์นไปขอความช่วยเหลือจากขงหยงซึ่งเป็นเจ้าเมืองตระกูลสูงคนหนึ่ง เพราะโจโฉนำกองทัพจะมาบุกขยี้ชีจิ๋ว ขงหยงจึงได้แนะนำเล่าปี่ซึ่งอยู่ใกล้กัน ให้นำทัพไปช่วยเหลือ เพราะตนเองไม่มีกำลังทหารมากพอ

เล่าปี่รีบนำทัพไปช่วยเหลือ โตเกี๋ยมนั้นรู้สึกขอบคุณเล่าปี่มาก และเหล่าขุนนางนายทหารในเมืองต่างก็ประทับใจในบุคลิกของเล่าปี่ ตัวของโตเกี๋ยมจึงยกตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วให้ ซึ่งเล่าปี่ได้บอกปัดไปถึงสามครั้ง แต่สุดท้ายก็จำต้องรับตำแหน่งเพื่อเตรียมรับมือกับทัพของโจโฉที่กำลังใกล้เข้ามา

แต่เผอิญว่าโจโฉต้องยกทัพกลับไปเสียก่อนเพราะโดนลิโป้เข้าตลบหลัง เล่าปี่จึงได้ครองเมืองชีจิ๋วเพียงผู้เดียว

เล่าปี่ครองชีจิ๋วได้เกือบหนึ่งปี ก็มีคราวต้องเสียเมืองเมื่อลิโป้ซึ่งพ่ายศึกต่อโจโฉเดินทางมาขอพึ่งพิง โดยเล่าปี่ได้ยกเมืองเสียวพ่ายให้ลิโป้ไปดูแล

โจโฉคิดจะลดทอนกำลังทหารของเล่าปี่จึงอ้างพระราชโองการให้เล่าปี่ต้องนำทัพไปรบกับอ้วนสุด จึงต้องฝากเมืองชีจิ๋วให้เตียวหุยดูแล แต่เตียวหุยมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือเป็นคนที่บ้าสุรา ซึ่งไม่ใช่บ้าธรรมดาแต่ยังชอบดื่มกินจนเมามายไม่ได้สติ ลิโป้ซึ่งวางแผนจะฮุบเมืองด้วยการร่วมมือกับโจป้าจึงฉวยโอกาสนั้นดอดเข้ายึดเมืองชีจิ๋ว เตียวหุยไม่มีทางเลือกจึงได้แต่หนีมาแจ้งข่าวแก่เล่าปี่ที่แนวหน้าโดยทิ้งครอบครัวของเล่าปี่ไว้

การผิดพลาดของเตียวหุยในครั้งนี้ทำให้กวนอูโกรธจนคิดจะฆ่าซะเพื่อลงโทษ แต่เล่าปี่ห้ามไว้และบอกว่า "ครอบครัวเหมือนเสื้อผ้า แต่พี่น้องเหมือนแขนขา" หมายถึงครอบครัวจะหาเมื่อใดก็ได้ แต่พี่น้องไม่อาจหาใหม่ได้อีก

เล่าปี่ต้องยกทัพกลับชีจิ๋ว โดยคราวนี้เจ้าบ้านกลับกลายเป็นแขก ลิโป้อ้างว่าที่ตนเข้าทำการยึดชีจิ๋วเป็นเพราะต้องการเข้ามาคุมสถานการณ์ในเมือง แน่นอนว่ามันแค่ข้ออ้าง ตัวเล่าปี่เองก็ขอเลือกไปยู่ที่เสียวพ่ายแทน

เมื่อไปอยู่เสียวพ่ายแล้ว อ้วนสุดก็ยกทัพมาหมายจะจัดการเล่าปี่ แต่ลิโป้ออกตัวช่วยไกล่เกลี่ยให้ อ้วนสุดจึงยอมถอยทัพ ลิโป้จึงทำตัวเหมือนว่าเล่าปี่ติดค้างบุญคุณ ทั้งที่ว่ากันตามตรงแล้ว ลิโป้ต่างหากที่ติดค้างเล่าปี่เรื่องที่ชิงเมืองชีจิ๋ว

เล่าปี่ก็คิดว่าหากปล่อยแบบนี้คงไม่ดีนัก จึงตัดสินใจส่งสารไปหาโจโฉเพื่อขอเป็นมิตร เผอิญว่าคนของลิโป้ดักจับคนนำสารได้ เมื่อรู้ว่าเล่าปี่ส่งสารให้โจโฉก็โกรธจึงยกทัพเข้าตีเล่าปี่จนสุดท้ายเล่าปี่ต้องแตกพ่ายไปหาโจโฉ

โจโฉต้อนรับเล่าปี่อย่างดี และเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะเข้ายึดชีจิ๋ว จึงนำกองทัพเข้ามาแทรกแซงและรุกจนลิโป้ต้องถอยร่นเข้าไปตั่งมั่นในเมืองชีจิ๋ว

อันที่จริงลิโป้ก็พอจะสู้กับทัพของโจโฉได้ หากแต่ในทัพของลิโป้เองกลับมีไส้ศึก นั่นคือพ่อลูกตันกุ๋ย ตันเต๋ง รวมกับสังขารของลิโป้ที่โรยราลง ความฮึกเหิมในการทำศึกลดลง จึงรบแพ้และได้แต่ตั้งทัพปักหลักอยู่ในเมือง

สุดท้ายโจโฉใช้การถล่มเขื่อนกั้นน้ำทำให้น้ำท่วมเมืองชีจิ๋ว และสามารถจับลิโป้ได้ ตอนแรกโจโฉตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใช้งาน แต่เล่าปี่ยุให้ฆ่าเสีย โดยอ้างว่าคนเช่นนี้หากเก็บไว้ก็มีแต่จะเนรคุณคน สุดท้ายลิโป้จึงต้องตายลง

หลังจากนั้นเมืองชีจิ๋วก็กลายเป็นของโจโฉ และเล่าปี่ก็ต้องเข้าไปอยู่ใต้สังกัดของโจโฉไป โดยเตียวหุยนั้นรับราชการประจำสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ก็มีแค่ตำแหน่งไม่ได้มีอำนาจควบคุมทหารอย่างแท้จริง

เล่าปี่แม้จะกลายเป็นลูกน้องของโจโฉแต่ตัวเขาก็ไม่เคยคิดภักดีและต้องการจะแยกตัวออกมาตลอดเวลา

ว่ากันว่าคนอย่างเล่าปี่ไม่อาจอยู่ใต้ใครได้ คำพูดนี้ก็จริง เพราะเล่าปี่มีความทะยานอยากและต้องการช่วงชิงแผ่นดิน ดังนั้นจึงไม่อาจอยู่ร่วมกับใครได้ โดยเฉพาะกับโจโฉซึ่งต้องการช่วงชิงแผ่นดินเช่นกัน และที่สำคัญคือเล่าปี่มีคนที่มีฝีมือเก่งฉกาจอย่างกวนอูและเตียวหุยด้วยแล้ว

การชูธงฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น และการอ้างตัวเป็นพระญาติ เหล่านี้ก็แค่เครื่องมือในการชิงแผ่นดินของเล่าปี่เท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ หากแต่วิธีนี้เหมาะสมกับตัวของเล่าปี่มากที่สุด

เล่าปี่อยู่กับโจโฉไปนานวัน ช่วงนั้นเขาใช้ชีวิตให้หมดไปกับการปลูกผัก ดูแลสวน จนกวนอูเองยังอดทักขึ้นมาไม่ได้ว่าเล่าปี่หมดไฟแล้ว แต่ตัวเล่าปี่นั้นเป็นนักการเมืองชั้นยอด เขาต้องการสร้างภาพให้โจโฉเห็นว่าตนเองหมดความทะเยอทะยานที่จะทำการใหญ่แล้ว

โจโฉเองก็ประมาทเล่าปี่ คิดว่าหมดพิษสงจริงๆดังนั้นเมื่อเล่าปี่ขอกำลังทหารไปเพื่อปราบอ้วนสุด โจโฉจึงให้ไปอย่างง่ายดาย

เล่าปี่เมื่อได้กำลังทหารมาก็ยกทัพจากมาอย่างรวดเร็ว จนกวนอูอดถามไม่ได้ว่าทำไมต้องรีบนัก ซึ่งเล่าปี่ก็บอกในทำนองว่าที่ผ่านมาตนถูกขังเหมือนนกในกรงไม่อาจทำอะไรได้ บัดนี้เขาปล่อยออกมาแล้วก็ไม่คิดจะกลับไปอีก เรียกว่างานนี้แม้แต่โจโฉก็ยังเสียรู้เล่าปี่

เล่าปี่นำทัพจะไปรบกับอ้วนสุด แต่อ้วนสุดก็ป่วยตายไปก่อนเล่าปี่จึงนำกองทัพไปเข้ายึดเมืองชีจิ๋วซึ่งตอนนั้นเป็นของโจโฉกลับคืนมา ซึ่งนั่นเท่ากับทรยศต่อโจโฉและเป็นการประกาศว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับโจโฉอีกต่อไป

โจโฉโกรธมากและนำกองทัพเข้าบดขยี้เล่าปี่ทันที ซึ่งทัพของเล่าปี่นั้นความจริงแล้วเป็นทหารที่โจโฉให้มา ดังนั้นจึงยอมเปิดเมืองชีจิ๋วให้อย่างง่ายดาย โดยเล่าปี่และเตียวหุยนั้นต่างก็ต้องถูกทัพของโจโฉรุกไล่จนหนีเตลิดไป กวนอูซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ครอบครัวของเล่าปี่นั้นก็ได้แต่พาเมียทั้งสองของเล่าปี่หนี จนเมื่อจนมุมจึงต้องยอมจำนนต่อโจโฉเพื่อรักษาชีวิตของฮูหยินทั้งสองไว้

เล่าปี่เมื่อหนีมาได้ก็ไปพึ่งพิงอ้วนเสี้ยวซึ่งครอบครองแดนกิจิ๋วทางตอนเหนือ ส่วนเตียวหุยนั้นหนีไปซ่องสุมกำลังพลอยู่ที่เมืองเก๋าเซีย ซ่องสุมกำลังพลได้หลายพัน จนเมื่อสืบรู้ข่าวว่าเล่าปี่หนีจากอ้วนเสี้ยวมาอยู่ที่เมืองยีหลำจึงคิดจะไปหา ก็พอดีที่กวนอูซึ่งตีจากโจโฉได้เดินทางนำพี่สะใภ้ทั้งสองคนมาหาพอดี

เตียวหุยแค้นใจกวนอูที่ไปยอมอยู่กับโจโฉ แต่เมื่อปรับความเข้าใจกันได้ กวนอูก็บอกว่าจะไปขอรับเล่าปี่มา ระหว่างทางที่กลับมาเก๋าเซียก็ได้จูล่งมาเป็นพวก และเมื่อทั้งสามพี่น้องได้พบกันก็ตัดสินใจจะสู้กับโจโฉอีกครั้ง

เล่าปี่ตัดสินใจลงใต้ไปขอพึ่งพาเล่าเปียวผู้ครองเกงจิ๋วอันยิ่งใหญ่และกว้างขวาง ตัวเล่าเปียวนั้นมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองใจกว้างที่ชอบช่วยเหลือผู้ตกยากโดยเฉพาะกับเหล่านักปราชญ์ซึ่งตัวเขาเองก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่ง 8 เมธีแห่งกังแฮ

เล่าเปียวให้ความช่วยเหลือเล่าปี่เพราะเห็นว่าเป็นคนแซ่เดียวกันและนับเล่าปี่เป็นเหมือนน้อง โดยเขามอบกำลังทหารให้เล่าปี่ส่วนหนึ่งและตั้งให้เล่าปี่ไปเป็นเจ้าเมืองซินเอี๋ยเพื่อคอยป้องกันการรุกรานจากโจโฉที่เพิ่งรบชนะอ้วนเสี้ยวและกำลังครองความเป็นใหญ่ในภาคกลาง

เล่าปี่เห็นว่าช่วงนั้นโจโฉกำลังไล่รุกขึ้นเหนือเพื่อถอนรากของตระกูลอ้วน ดังนั้นจึงเสนอแผนการต่อเล่าเปียวให้ฉวยโอกาสนี้รุกตีตลบหลังโจโฉ

แต่เล่าเปียวนั้นแม้จะเป็นเจ้าเมืองใหญ่กลับเป็นคนที่ไม่เด็ดขาด เขาเกรงโจโฉจะรุกรานแต่ก็ไม่กล้าเป็นศัตรูด้วย จึงไม่รับข้อเสนอของเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่จึงได้แต่ใช้ชีวิตอย่างสงบที่เกงจิ๋วไปวันๆเป็นเวลาเกือบ 7 ปี นับตั้งแต่ที่เขามาอยู่กับเล่าเปียวแต่ก็ไม่ถึงกับสงบมากนัก เพราะชัวมอและชัวฮูหยินน้องเขยและภรรยารองของเล่าเปียวนั้นมองว่าเล่าปี่อาจจะเข้ามาแย่งอำนาจการปกครองเกงจิ๋วในอนาคตจึงหาทางที่จะกำจัดเขาทิ้ง

จนเข้าช่วงปีค.ศ.207 เมื่อโจโฉพิชิตตงง้วนได้หมด ก็มุ่งเป้ามายังภาคใต้ เป้าหมายแรกคือเกงจิ๋วของเล่าเปียว และเมื่อเล่าเปียวตายลงเล่าปี่ก็ต้องอพยพถอยหนี โดยก่อนหน้านั้นเขาได้ตัวขงเบ้งมาเป็นเสนาธิการกองทัพ (ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเตียวหุยขอไม่เน้นเล่า)

เล่าปี่ให้กวนอูนำประชาชนและทหารบางส่วนล่วงหน้าไปทางเรือ ส่วนขงเบ้งมุ่งหน้าไปทางแฮเค้าเพื่อขอกำลังหนุนจากเล่ากี๋ สำหรับเตียวหุยรับหน้าที่เป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ตนระหว่างที่อพยพหนีจากทัพของโจโฉ แต่ว่าทัพของเล่าปี่ที่มีประชาชนมาด้วยนับแสนนั้นเดินกันช้ามาก ทำให้ทัพม้าของโจโฉที่เป็นกองหน้าตามมาทันได้และไล่ฆ่าประชาชนและทหารของเล่าปี่ล้มตายไปมาก

ครอบครัวของเล่าปี่เองก็กระจัดกระจายไปในระหว่างอพยพหนี จูล่งจึงบุกเดี่ยวฝ่าไปในทุ่งเตียงปันที่มีทัพของโจโฉกระจายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เกิดเป็นวีรกรรม"จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า" อันโด่งดัง ส่วนเตียวหุยนั้นได้พาเล่าปี่หนีข้ามสะพานไปยังอีกฟาก

จากนั้นเพื่อสกัดทัพของโจโฉที่ติดตามมาและรอคอยให้จูล่งและทัพบางส่วนฝ่าออกมาได้ทัน เตียวหุยจึงตัดสินใจปักหลักอยู่ที่หน้าสะพานเพียงลำพัง และคอยจัดการเหล่าทหารของโจโฉที่บุกเข้ามาจนแตกพ่ายไปหมด

ในนิยายสามก๊กนั้น นี่นับเป็นฉากที่แสดงความไร้เทียมทานของเตียวหุย เมื่อเขาเพียงคนเดียวสามารถสกัดกองทัพหน้าของโจโฉที่บุกเข้ามาจนต้องตรึงกำลังไว้ที่หน้าสะพานไม่อาจล่วงเข้ามาได้ เตียวหุยเพียงแค่ยืนจังก้าส่งเสียงตะโกนดุจฟ้าผ่าก็ทำให้ทหารของโจโฉขวัญหนีดีฝ่อ บางคนถึงกับตกใจตาย และเพื่อให้โจโฉถอยทัพกลับไป เตียวหุยจึงวางแผนให้ทหารที่อีกฟากของสะพานเอาม้ามาผูกกับกิ่งไม้และวิ่งทพเป็นฝุ่นตลบหลกให้โจโฉคิดว่ามีทหารซุ่มอยู่มาก และในที่สุดโจโฉก็ต้องยอมถอนตัวออกจากสะพาน เมื่อเตียวหุยเห็นว่าแผนของตนประสบผลก็ถอนตัวไปอีกฟากแล้วทำลายสะพานทิ้ง

เป็นที่น่าสนใจว่าเป็นวีรกรรมที่ดูจะยิ่งใหญ่ และเว่อร์เกินความน่าจะเป็น หากว่าทัพของโจโฉมาหยุดหน้าสะพานแล้วพบเตียวหุยอยู่เช่นนั้น ก็น่าจะระดมยิงธนูจัดการเขาไปเลย แล้วค่อยบุกไป การปล่อยให้นักรบคนเดียวมาตะโกนไล่กองทัพหน้าของตนแบบนี้ ย่อมเป็นที่ขายหน้าสำหรับผู้กุมอำนาจสูงสุดขณะนั้น

คาดว่ากองทหารที่ถูกเตียวหุยไล่จนกระเจิงไปน่าจะเป็นกองหน้าย่อยๆของเตียวหุยที่มีกำลังไม่มาก เมื่อเผชิญเตียวหุยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องจากวนอูว่าสู้ศึกได้นับหมื่นแล้ว ทหารกองหน้าก็ย่อมขยาด ยิ่งเมื่อมีทหารลองบุกเข้าไปกลับถูกเตียวหุยฟันจนตายแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่

เมื่อเห็นว่าทัพหน้าเหล่านั้นถอยไปแล้วและจูล่งก็พาอาเต๊ากลับมา เตียวหุยจึงทำลายสะพานทิ้ง นี่น่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไง ศึกที่เล่าปี่พ่ายแพ้เจียนตายนี้กลับเป็นศึกที่สร้างชื่อให้เตียวหุยจนระบือไปพร้อมๆกับจูล่ง

จากนั้นเล่าปี่ก็จับมือกับซุนกวนเจ้าแห่งกังหนำทางใต้ เอาชนะโจโฉในศึกเซ็กเพ็กได้สำเร็จ และเข้าเป็นผู้ปกครองแดนเกงจิ๋วตอนกลางและล่าง ภายหลังจึงมุ่งเป้าที่จะขยายอำนาจไปยังแดนประจิม นั่นคือแดนเสฉวนของเล่าเจี้ยง

การศึกเพื่อเข้าครองเสฉวนของเล่าปี่นั้นมีหลายช่วง ในช่วงแรกใช้การดำเนินกลยุทธ์เข้าเจรจาและใช้เล่ห์กลเป็นหลัก โดยการเสนอแผนการเป็นงานของบังทองเสนาธิการคนใหม่ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของขงเบ้ง จนกระทั่งฝ่ายเล่าปี่ได้ประกาศตัวอย่างโจ่งจแงในการจะเข้ายึดเสฉวนแล้ว เตียวหุยจึงถูกโยกย้ายจากเกงจิ๋วให้เข้าร่วมศึกในแนวหน้า

เล่าปี่สั่งการให้เตียวหุย จูล่ง ฮองตง อุยเอี๋ยนแม่ทัพของตนเข้ารุกตามเส้นทางเข้าเสฉวนโดยอาศัยแผนที่ของเตียวสง ขุนนางขายชาติของเสฉวนเข้าช่วยอีกที โดยเตียวหุยนั้นได้นำทัพเข้าตีทางเมืองเจียงโจว จังหวัดปาจวุ้น โดยได้ปะทะกับขุนพลเฒ่านามเงียมหงันซึ่งเป็นขุนพลที่มีฝีมือของเสฉวน

เตียวหุยสามารถกำราบเงียมหงันและจับเป็นได้ เงียมหงันนั้นเป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวตาย เตียวหุยเมื่อจับเงียมหงันได้ก็ตะคอกถามว่าทำไมจึงไม่ยอมแพ้ เงียมหงันว่าเสฉวนมีแต่ขุนพลหัวขาด ไม่มีขุนพลขี้แพ้ เตียวหุยจึงสั่งให้จับไปประหาร เงียมหงันก็ไม่กลัวและบอกว่าตัวหัวก็ตัดสิ ทำไมต้องโมโห

เตียวหุยนับถือน้ำใจของเงียมหงันในความเป็นบ้าบิ่นไม่กลัวตาย จึงแก้มัดและปฏิบัติต่อเขาอย่างให้เกียรติ เงียมหงันเห็นเช่นนั้นก็กล่าวว่าชื่อเสียงท่านนั้นเลื่องลือว่าใจสาหมานหยาบช้าไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่ บัดนี้เห็นท่านเป็นคนสุภาพ รู้จักที่ผิดชอบจึงชอบใจนักแล้วก็คำนับยกย่องเตียวหุย

เตียวหุยจึงปรึกษาว่าจะยกตีเข้าทางลกเสียจะทำเช่นใด เงียมหงันจึงแนะนำว่าทางนี้มีด่านหลายตำบล แต่ข้าจะช่วยด้วยการยกทหารเป็นกองหน้าเมื่อนั้นก็จะสามารถผ่านไปได้อย่างสะดวก เพราะทางเหล่านี้อยู่ในบัญชาของข้า และด้วยเหตุนี้เตียวหุยจึงสามารถผ่านทางลกเสียได้โดยง่าย และไม่เสียทหารสักคนเดียว กลายเป็นผู้ที่สามารถสร้างผลงานเข้ามาทางด่านหน้าเมืองลกเสียได้เร็วที่สุด

ทัพของเล่าปี่นั้นตั้งมั่นอยู่ประจันทางลกเสีย ได้รบพุ่งกับทางเตียวหยิม ทหารเอกที่มีฝีมืออันดับหนึ่งของเสฉวน จนต้องเสียบังทองไป เตียวหยิมเองก็รุกไล่ทัพของเล่าปี่จนเกือบแย่ แต่เตียวหุยที่ตามมาทันได้ก็รุกไล่เตียวหยิมจนต้องถอยเข้ากำแพงเมือง

เล่าปี่ชมเชยผลงานของเตียวหุยที่สามารถฝ่าด่านต่างๆมาได้อย่างรวดเร็วและไม่เสียกำลังทหาร และยกย่องชมเชยเงียมหงันพร้อมทั้งประทานเสื้อเกราะให้

ทางฮองตงอุยเอี๋ยนนั้นได้ยกทัพเข้าตีจากทางซ้ายขวา เตียวหุยแนะว่าควรจะยกไปช่วย และก็ยกเข้าตีกระหนาบจนงอหลัน ลุยต๋องทหารของเตียวหยิมต้องยอมจำนน

จากนั้นเตียวหุยก็ท้ารบกับเตียวหยิม แต่ต้องกลเตียวหยิมจนเกือบเสียที ยังดีที่จูล่งซึ่งนำทัพหนุนขึ้นมานำทัพเข้าตีกระหนาบหลัง และจับตัวงออี้ทหารคนสำคัญของเตียวหยิมได้

เตียวหุยกับจูล่งกลับเข้าค่ายไปพบขงเบ้งที่เพิ่งจะยกทัพเรือมาถึง ขงเบ้งเมื่อรู้ว่าเพราะเหตุใดเตียวหุยจึงเป็นทัพหนุนที่มาได้ถึงก่อนใครแล้วก็ยกย่องเขามาก ส่วนจูล่งนั้นพาตัวงออี้มาเข้าพบเล่าปี่ และงออี้ก็ได้ยอมจำนนและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสายบัญชาการในเมืองลกเสียแก่เล่าปี่จนหมด

เมื่อรู้เขารู้เราเช่นนี้ เล่าปี่ก็สามารถวางกลยุทธ์จัดการกับเตียวหยิมได้ ขงเบ้งจึงได้วางแผนล่อเตียวหยิมให้ออกมาจากในเมือง แล้วปิดทางถอยกลับของเตียวหยิม จากนั้นเตียวหุยก็นำทัพเข้าตีและจับตัวเตียวหยิมเป็นๆได้สำเร็จ

เตียวหุยพาเตียวหยิมมาหาเล่าปี่ แต่เตียวหยิมไม่ยอมจำนนจึงถูกขงเบ้งสั่งประหาร เล่าปี่ยกย่องในความกล้าและภักดีของเตียวหยิมจึงสั่งให้ทำป้ายเชิดชูเตียวหยิมไว้

จากนั้นทัพของเล่าปี่ก็รุกเข้ามาเรื่อยๆและสามารถตีเข้าเสฉวนได้สำเร็จ เล่าเจี้ยงเปิดประตูเมืองยอมแพ้โดยไม่รบ ทำให้เล่าปี่ครอบครองนครเฉิงตูเอาไว้ได้

จากนั้นศึกแย่งชิงเมืองฮั่นจงระหว่างเล่าปี่กับโจโฉก็เริ่มขึ้น เพราะเมืองฮั่นจงนับเป็นหน้าด่านสำคัญในการที่ฝ่ายเล่าปี่จะใช้เป็นฐานกำลังในการเข้าตีเตียงอันในอนาคตและยังใช้เป็นปราการส่วนหน้าสำหรับป้องกันการรุกรานได้ เล่าปี่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาเมืองนี้มาจากฝ่ายโจโฉ

ขณะนั้นโจโฉใช้ให้โจหองมาเฝ้ารักษาเมืองฮั่นจง โจหองให้แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับอยู่รักษาด่านทางทุกตำบลเอาไว้ โดยทางเล่าปี่นั้นส่งเตียวหุยและม้าเฉียวให้มาตั้งมั่นที่ปาเสเตรียมจะรุกเข้าฮั่นจง โดยเตียวหุยให้ม้าเฉียวรุกเข้ามาทางตำบลแฮเปียน

ม้าเฉียวให้งอลันและงิมเอ๋งเป็นกองหน้าลาดตระเวน ทั้งสองได้พบกับทัพของโจหองแต่ด้วยความที่อยากจะเข้าตีฝ่ายโจหองก่อนแล้วค่อยกลับไปรายงาน งิมเอ๋งจึงออกรบกับโจหองและถูกสังหาร งอลันต้องรีบกลับมาแจ้งต่อม้าเฉียว

ม้าเฉียวโกรธมาก และทำหนังสือแจ้งไปทางเสฉวนและเตียวหุยที่ปาเสให้ทราบ จากนั้นทัพของโจหองก็ออกรบสังหารทหารฝ่ายม้าเฉียวไปมาก แต่ม้าเฉียวยังนิ่งและไม่ยอมออกมารบ โจหองกลัวว่าจะเป็นอุบายจึงถอนกำลังกลับ

เตียวคับว่าเหตุใดต้องถอนกลับ โจหองจึงแจ้งว่ากลัวจะเป็นแผนของม้าเฉียว เตียวคับจึงเสนอที่จะยกทัพเข้าทางลัดไปตีเอาปาเสที่เตียวหุยเฝ้าอยู่ แต่โจหองทัดทานไว้เพราะเห็นว่าเตียวหุยมีฝีมือในการรบสูงเป็นที่เลื่องลือ เตียวคับว่าความคิดอ่านของเตียวหุยเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ไม่ต้องกลัวอันใด แล้วก็จัดแจงนำทัพออกไปเข้าประชิดทางแฮเปียน แต่ม้าเฉียวก็ยังคงไม่ออกมารบด้วย เตียวคับจึงทำตามแนที่คิดไว้คือยกทัพเข้าทางลัดเพื่อตีเมืองปาเส ซึ่งหากตีเมืองปาเสได้ เสฉวนก็อยู่เพียงแค่ปลายจูมกแล้ว เพราะขณะนั้นปาเสถือเป็นด่านหน้าสุดของฝ่ายจ๊กก๊ก

เตียวหุยจึงปรึกษากับลุยต๋องที่เป็นรองแม่ทัพ จึงวางแผนจะตลบหลังเตียวคับ ด้วยการให้ลุยต๋องยกทหารห้าพันไปซุ่มอยู่นอกเมือง ส่วนเตียวหุยนั้นยกทัพออกมาท้ารบกับเตียวคับและด่าว่าจนเตียวคับโกรธ ยกทัพออกมาสู้ด้วย ทั้งสองสุ้กันได้พักใหญ่ ทัพของลุยต๋องก็ตีเข้าตัดท้ายเข้าไปสังหารทหารของเตียวคับไปมาก จนเขาต้องถอนทัพกลับไปตั้งมั่นที่ค่ายเพ็กเงียม

เตียวหุยหมายจะตีค่ายของเตียวคับให้ได้ เพื่อจัดการให้เส็รจในคราเดียว จึงยกทัพออกมาร้องด่าว่าเตียวคับทุกวัน แต่เตียวคับก็ไม่ยอมออกมารบและตั้งมั่นอย่างหนาแน่น เตียวหุยไม่อาจจะตีแตกได้ เขาจึงคิดแผนลวงขึ้นเพื่อเล่นงานเตียวคับจนเสียเชิงในครานี้

เตียวหุยทำเป็นดื่มสุราและออกมาร้องด่าเตียวคับทุกวัน กองทหารเสบียงที่มาส่งเสบียงให้เตียวหุยเห็นเตียวหุยดื่มสุราแล้วออกไปด่าเตียวคับทุกวัน และวินัยทหารก็หย่อนๆไป จึงกลับไปแจ้งต่อเล่าปี่ ซึ่งขงเบ้งอ่านออกว่าเป็นแผนลวงข้าศึกของเตียวหุย จึงบอกให้เล่าปี่จึงส่งอุยเอี๋ยนให้มาส่งสุราเพิ่มและส่งสารว่าให้เร่งทำศึกเอาชนะให้ได้

เตียวหุยจึงสั่งการต่ออุยเอี๋ยนที่นำทัพหนุนมาว่า หากเห็นเรายกธงแดงขึ้นเมื่อใดให้คุมทหารเข้าตีกับเตียวคับทันที แล้วทำหุ่นรูปเหมือนเตียวหุยซ่อนไว้ พอเวลาเย็นก็ให้ทหารเอาสุราอาหารมาเลี้ยงกันในค่าย

ฝ่ายข่าวของเตียวคับที่ออกมาสืบข่าวกลับไปแจ้งเตียวคับ จึงคิดว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะลอบเข้าตีค่ายของเตียวหุย ในคืนนั้นเตียวหุยให้ทหารเอาหุ่นรูปตนมานั่งทำเป็นดื่มสุราแล้วให้ทหารเข้ามาคอยรัยใช้หลายคน ส่วนตนและอุยเอี๋ยน ลุยต๋องเตรียมซุ่มทหารไว้ เมื่อเตียวคับนำทหารจะมาลอบบุกค่าย เห็นหุ่นเตียวหุยแต่ไกลก็คิดว่าเป็นตัวจริงจึงนำทัพเข้ามาถึงตัวหุ่นเตียวหุย เมื่อพบว่าถูกหลอกก็จะรีบหนีออกจากค่ายแต่เตียวหุยก็สั่งให้จุดเพลิงเผาค่ายจนทหารของเตียวคับแตกฮือ แล้วเตียวหุยก็ขี่ม้าออกมารบกับเตียวคับ

ส่วนทางอุยเอี๋ยนและลุยต๋องที่เตียวหุยสั่งให้ซุ่มเตรียมไว้นั้น เมื่อเห็นว่าเตียวหุยเข้ารบกับเตียวคับแล้วทัพของเตียวคับที่เหลือเข้ามาตีกระหนาบ ทั้งสองก็ยกทัพออกตีทหารเหล่านั้นจนแตกพ่าย และเลยไปเข้าตีค่ายของเตียวคับและจุดเพลิงเผา ทางเตียวคับซึ่งเหลือทหารเพียงหนึ่งหมื่นจึงนำทัพของตนมาตั้งหลักที่ด่านอวนเทาก๋วน

นับว่าแผนการของเตียวหุยในครั้งนี้ยอดเยี่ยมจริงๆในการใช้ภาพพจน์ความเป็นคนบ้าสุราของตนมาใช้เป็นประโยชน์ เรียกว่าดึงข้อเสียมาใช้เป็นข้อดีในการหลอกล่อฝ่ายตรงข้ามได้ กลจิตวิทยาเช่นนี้แม้แต่เตียวคับซึ่งเป็นแม่ทัพที่มีความรอบคอบยังเสียรู้ ความจริงแล้วบรรดาแม่ทัพที่เข้ามารบกับเตียวหุยทุกคนล้วนเกรงกลัวในฝีมือการบอันดุเดือดของเขาแต่กลับดูถูกสติปัญญาของเขา เตียวหุยเองก็คงจะรู้ข้อนี้ดีจึงพลิกกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ นับว่ากลศึกของเตียวหุยในข้อนี้เข้าหลักใช้ปัญญานำความกล้า ก่อเกิดอานุภาพไม่สิ้นสุด

เตียวหุยในสมัยแรกที่มาอยู่กับเล่าปี่อาจเป็นเพียงแค่นายทหาร องครักษ์ แต่ในวันนี้เขายกระดับตนเองขึ้นมาเป็นแม่ทัพได้อย่างยอดเยี่ยม

จากนั้นทั้งเตียวหุยและเตียวคับก็สู้รบกันที่ด่านเอาเทาก๋วนอย่างหนัก แต่สุดท้ายเตียวหุยก็สามารถรบชนะยึดด่านนี้มาได้และทำให้เตียวคับต้องถอยกลับไปที่ฮั่นจง โดยเหลือทหารเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น

ในศึกฮั่นจงนี้นับเป็นศึกแรกที่ฝ่ายเล่าปี่เอาชนะฝ่ายโจโฉได้อย่างเด็ดขาด ด้วยความสามารถของแม่ทัพหลายคนซึ่งต่างมีผลงานความชอบไล่เลี่ยกันไป คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าฮองตงเป็นคนที่เด่นสุดในศึกนี้เพราะสามารถสังหารแฮหัวเอี๋ยนที่คุมด่านเตงกุนสันซึ่งเป็นด่านสำคัญที่สุดในการจะเข้ายึดฮั่นจงไปได้ แต่แท้จริงแล้วเป็นผลงานรวมกันของอีกหลายคนเช่นจูล่ง ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน หวดเจ้ง เล่าฮอง เบ้งตัด เงียมหงัน โดยคนที่มีผลงานในช่วงแรกของศึกฮั่นจงเด่นที่สุดและมีผลอย่างมากที่ทำให้การศึกนับจากนี้สบายขึ้นก็คือเตียวหุยนี่เอง

สรุปการศึกฮั่นจงแล้ว ฝ่ายเล่าปี่สามารถยึดฮั่นจงจากโจโฉมาได้ทั้งหมด และความสามารถของเตียวหุยก็เป็นที่ยอมรับแล้วว่าไม่ได้มีดีที่การใช้กำลังเข้าแตกหักอย่างเดียว หากแต่มีการใช้สติปัญญาวางแผนและกลศึกจัดการกับแม่ทัพแถวหน้าของข้าศึกได้ด้วย

เรื่องเบาปัญญาของเตียวหุยหากจะว่ากันจริงๆที่เด่นชัดมากๆก็มีเพียงเรื่องที่เสียเมืองชีจิ๋วให้ลิโป้และในวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น หากมองในแง่การทำศึกแล้วเขานับว่ามีลูกล่อลูกชนและกลศึกที่ไม่น้อยกว่าแม่ทัพคนอื่นๆเท่าใด จะว่าไปแล้วเรื่องผลงานการรบที่ใช้กลศึกเอาชนะศัตรูของเขายังเด่นกว่ากวนอูด้วยซ้ำ

หลังศึกฮั่นจง ในปีค.ศ.219 เล่าปี่ก็ตั้งตนขึ้นเป็นฮั่นจงอ๋อง ภายใต้การสนับสนุนของขุนนางทั้งหลายและชาวเมือง เตียวหุยเป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนเต็มที่ และเขาก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นขุนพลฝ่ายขวา และถูกยกย่องเป็นห้าทหารเสือร่วมกับกวนอู จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว แต่ในบันทึกบางฉบับก็ว่าเขาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดเลย ซึ่งน่าจะได้ภายหลังจากที่กวนอูได้ตายไปมากกว่า เพราะไม่เช่นนั้นยศจะสูงกว่ากวนอูผู้พี่ไป

และในปลายปีเดียวกันนี้เองก็มีข่าวแจ้งมาจากทางเกงจิ๋วว่ากวนอูรบแพ้โดยถูกทางซุนกวนตลบหลังระว่างที่กวนอูยกทัพเข้าตีกับโจหยินทางเหนือ กวนอูถูกลิบองแม่ทัพของซุนกวนจับตัวได้ และถูกประหาร เล่าปี่แค้นมากคิดจะยกทัพแก้แค้น เตียวหุยสนับสนุน แต่ขงเบ้งและเหล่าขุนนางทัดทานไว้ เล่าปี่จึงเก็บความแค้นไว้ก่อน

ปีค.ศ.220 โจผีตั้งตนเป็นพระเจ้าวุยบุ๋นตี้ เล่าปี่จึงตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ในปีถัดมา เตียวหุยก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คุมอำนาจทางทหารทั้งหมด เท่ากับมีตำแหน่งเป็นที่สองรองจากเล่าปี่ และยังควบฐานะพระอนุชาด้วย

เล่าปี่ตัดสินใจยกทัพไปแก้แค้นให้กวนอูด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเตียวหุย แม้จูล่งและขงเบ้งจะทัดทานก็ไม่เป็นผล

และนี่คือวาระสุดท้ายอันไม่สมกับยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในขณะนั้นเมื่อเตียวหุยถูกทหารของตนลอบสังหารในขณะที่กำลังนอนหลับหลังจากกินเหล้าจนเมามายในวันก่อนที่จะยกทัพไปทำศึกล้างแค้นให้กวนอู โดยศีรษะของเขาถูกทหารของตนลอบไปให้แก่ทางซุนกวน รวมแล้วเตียวหุยมีอายุได้ 55 ปี

เล่าปี่แค้นมากและยกทัพไปถึงเจ็ดแสนหมายจะถล่มซุนกวนให้ราบ ศึกนี้คือศึกอิเหลงอันโด่งดัง ฝ่ายเล่าปี่สามารถเอาชนะมาเรื่อยจนกระทั่งมาพลาดท่าที่ทุ่งอิเหลงเมื่อทัพเจ็ดแสนคนที่ตั้งค่ายพักที่นั่นถูกลกซุนวางเพลิงจนแตกพ่ายเหลือกลับไปเสฉวนเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น และเล่าปี่ก็ตรอมใจตายที่เมืองเป๊กเต้เสีย

สำหรับลูกๆของเตียวหุยนั้น ยังเป็นที่กังขาว่าเตียวเปาบุตรชายคนโตของเขาที่ได้ออกมาโลดแล่นในนิยายสามก๊กในฐานะแม่ทัพหนุ่มนั้น ที่แท้มีบทบาทเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อมีการพูดถึงเตียวเปาในสามก๊กของเฉินโซ่วว่าตายตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนลูกของเตียวหุยที่เหลือนั้น ลูกสาวได้แต่งงานเป็นมเหสีเอกของเล่าเสี้ยนบุตรของเล่าปี่ ส่วนลูกชายคนที่เหลือนั้นก็อยู่รับใช้เล่าเสี้ยนและจ๊กก๊กสืบต่อมา

สำหรับเตียวหุยนั้นเมื่อดูจากเส้นทางชีวิตและผลงานแล้วนับว่าเป็นผู้ที่เราพูดได้เต็มปากว่าเป็นขุนพลชั้นเอกของยุคสามก๊กโดยแท้จริง เป็นขุนพลอีกคนหนึ่งที่มีผลงานการดวลตัวต่อตัวไม่เคยแพ้พ่ายให้ใคร แม้กระทั่งคนที่เก่งที่สุดอย่างลิโป้ หากจะยกว่านี่คือจอมพลังอันดับหนึ่งของยุคนั้นก็คงจะได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น