ประวัติสามก๊ก อ้วนเสี้ยว เปิ่นซู่
ในยุคสามก๊กช่วงก่อนที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะประกาศตัวเข้าชิงแผ่นดิน ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีชายคนหนึ่งที่ใครๆต่างเคยคาดว่าอาจจะเป็นผู้สยบความวุ่นวายในแผ่นดินได้ เพราะเขาคือชายผู้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาขุนศึกก่อนที่ขั้วอำนาจจะแบ่งแยกเป็นสาม
นั่นคืออ้วนเสี้ยว ทายาทขุนนางใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่นผู้สืบตระกูลขุนนางมาถึงสี่สมัย และเป็นผู้กุมอำนาจทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งในราชวงศ์ฮั่น
ภาพพจน์ของอ้วนเสี้ยวผู้นี้ที่คนอ่านสามก๊กมักรู้จักกันคือ ขุนนางใหญ่ผู้เปี่ยมด้วยอำนาจวาสนาและกำลังทหาร หากแต่ลักษณะนิสัยกลับไร้ความเด็ดขาด โง่เขลาในเรื่องที่ไม่สมควร ทำให้เขาต้องกลายเป็นฝ่ายแพ้ต่อโจโฉที่ขณะนั้นด้อยกำลังกว่ามากไป
แต่จริงๆแล้วเป็นเช่นไร ผู้แพ้ในประวัติศาสตร์แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่มักจะถูกทำให้ดูโง่เขลาไร้ปัญญาเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเป็นความพ่ายแพ้ที่กำลังสองฝ่ายต่างกันมาก
กรณีของอ้วนเสี้ยวก็อาจไม่ต่างกัน
ประวัติโดยย่อ
อ้วนเสี้ยวหรือหยวนเซ่า ชื่อรองเปิ่นซู่ เกิดเมื่อปีค.ศ.152 เป็นบุตรชายในตระกูลอ้วน อันเป็นตระกูลขุนนางที่ยาวนานมาถึงสี่สมัย ได้เป็นขุนนางใหญ่ค้ำราชวงศ์ฮั่นถึงสามรุ่น ดังนั้นเกียรติยศ บารมีของอ้วนเสี้ยวจึงล้นมากมาตั้งแต่เกิด
อ้วนเสี้ยวได้รับการเรียนและศึกษาวิชาการปกครองและการทหารอย่างดีตามแบบแผนของลูกขุนนางใหญ่ที่ถูกคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งสำคัญเมื่อโตขึ้น ในสมัยวัยรุ่นนั้นเขาได้คบหากับสหายคนหนึ่งที่มีความโดดเด่นและนิสัยแตกแยกไปจากเขาอย่างมากนั่นคืออาหม่าน หรือที่ภายหลังเรารู้จักกันในนามโจโฉ
ทั้งสองคนต่างเป็นเพื่อเรียน เพื่อนเที่ยวที่มีความสนิทสนมกันมาก อาจเพราะนิสัยที่ค่อนข้างจะต่างกันจึงทำให้คบหากันมาได้ดี
ปีค.ศ. 175 เมื่ออ้วนเสี้ยวอายุได้ 23 ปี เขาก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งให้เป็นเจ้าเมืองปักเอี้ยง นับว่าเป็นขุนนางหนุ่มที่มีอนาคตไกลมาก
หลังจากนั้นหลายปีต่อมาก็ได้เกิดกลุ่มโจรผ้าเหลืองลุกฮือขึ้นไปทั่วแผ่นดิน อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพผู้หนึ่งที่ได้รับบัญชาให้เข้าปราบปรามความวุ่นวายนี้ หลังจากปราบโจรผ้าเหลืองแล้ว เขาก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นซีเหวียนปาเซี่ยวเหว่ย (ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์) ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 8 คน เป็นตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นหลังจากปราบโจรผ้าเหลืองได้ เป็นกลุ่มนายทหารที่มีหน้าที่พิทักษ์รักษาราชวงศ์โดยตรง โดยอ้วนเสี้ยวถูกตั้งเป็นหัวหน้า โจโฉเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้
ปีค.ศ.189 พระเจ้าเลนเต้ประชวรหนักและสวรรคต ทิ้งทายาทผู้มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์สององค์นั่นคือหองจูเปียนบุตรคนโตและหองจูเหียบบุตรคนรอง ทั้งสองคนมีความแตกต่างกันมากทั้งหน้าตาและสติปัญญา โดยหองจูเหียบแม้จะอายุแค่ 8 ชันษา แต่ก็มีความเหมาะสมกับตำแหน่งฮ่องเต้มากกว่า แต่เพราะแรงผลักดันจากพระนางโฮเฮามารดาของหองจูเปียน ทำให้รัชทายาทหองจูเปียน ได้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 14 ปี และตั้งให้หองจูเหียบขึ้นเป็นตันลิวอ๋องแทน โดยมีพระนางโฮไทเฮากับโฮจิ๋นพี่ชายซึ่งมีพื้นเพเป็นคนขายเนื้อได้เป็นสมุหกลาโหม เป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง
เกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักครั้งนี้ อ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นซีเหวียนปาเซี่ยวเหว่ยนั้นเป็นผู้ให้การสนับสนุนโฮจิ๋น ทำให้ขั้วอำนาจในวังแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายโฮไทเฮาและโฮจิ๋นกับฝ่าย 10 ขันที เนื่องจากพวก 10 ขันทีไม่ได้กุมอำนาจทหาร หากโฮจิ๋นเอราจริงขึ้นมาพวกเขาต้องถูกล้างบางแน่ จึงได้เข้าอ่อนน้อมต่อพระนางโฮไทเฮา ดังนั้นแม้โฮจิ๋นจะต้องการปราบพวก 10 ขันที แต่ก็ถูกโฮไทเฮาผู้เป็นน้องสาวห้ามไว้
การนี้ทำให้ 10 ขันทีผู้เคยกุมอำนาจการปกครองในสมัยของพระเจ้าเลนเต้นั้น ต้องหาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อเรียกเอาอำนาจของตัวเองกลับมาและรักษาชีวิตไว้
ตรงนี้นับเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการแก่งแย่งอำนาจเช่นกัน โฮจิ๋นคิดจะกำจัด 10 ขันที แต่เพราะเห็นว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้า จึงไม่ได้ใส่ใจ และทำให้ 10 ขันทีก็ชิงลงมือก่อน ด้วยการลวงโฮจิ๋นเข้าวังยามวิกาลแล้วรุมฆ่าทิ้ง อ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นคนสนิทของโฮจิ๋นจึงนำกำลังทหารเข้าวังแล้วกวาดล้างเหล่าขันทีทั้งหมด
การจะทำการยึดอำนาจต้องเด็ดขาดรวดเร็ว และไม่สมควรให้อีกฝ่ายรู้ตัว หรือหากอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็จำต้องลงมือในทันที ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสเอาตัวรอดได้ ไม่เช่นนั้นเราคือผู้ที่จะตายเสียเอง โฮจิ๋นไม่เคยเป็นทหารออกศึก เขาได้ตำแหน่งแม่ทัพมาโดยในนามเท่านั้น พื้นเพก็เป็นเพียงอดีตคนขายเนื้อ เขาย่อมไม่นำพาจุดนี้ การแก่งแย่งอำนาจครั้งนี้ที่เขาได้เปรียบทุกอย่างจึงต้องพ่ายแพ้
หลังจากโฮจิ๋นตาย อันที่จริงอ้วนเสี้ยวน่าจะกุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะก่อนที่จะเกิดการกวาดล้าง ฮ่องเต้และน้องชายคือตันหลิวอ๋องได้เสด็จหนีออกนอกเมืองหลวงมาก่อนและได้พบกับตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองเสเหลียง ที่นำกำลังทหารมาเพื่อยุติความวุ่นวายพอดี
เกี่ยวกับการที่ตั๋งโต๊ะได้โอกาสมาที่เมืองหลวงนั้น ต้องขอบอกว่าเป็นเพราะความเบาปัญญาของโฮจิ๋น และก็มาจากคำแนะนำที่ไร้การตรึกตรองของอ้วนเสี้ยวด้วย
เรื่องคือโฮจิ๋นคิดที่จะกำจัด 10 ขันที แต่กลับทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการที่จะสังหารเหล่าขันทีพวกนี้นั้น หากเป็นช่วงที่พระเจ้าเลนเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่คงจะทำได้ลำบาก เพราะในตอนนั้นพวกขันทีเป็นกลุ่มที่กุมอำนาจในราชสำนักไว้ แต่เมื่อสิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้ว ผู้ที่ขึ้นมากุมอำนาจก็คือโฮจิ๋นและโฮไทเฮาผู้เป็นน้องสาวและเป็นแม่ของฮ่องเต้องค์ใหม่
โฮจิ๋นหมายจะกำจัด 10 ขันที แต่ติดตรงที่พระนางโฮไทเฮาออกมาปกป้องซึ่งสาเหตุคงเป็นเพราะเตียวเหยียงหัวหน้า 10 ขันทีนั้นได้อาศัยฝีปากในการอ้อนวอนและประจบประแจงจนสามารถรักษาชีวิตพวกตนเองไว้ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม อำนาจในการบัญชากำลังทหารก็อยู่ในมือโฮจิ๋น นั่นเท่ากับว่าถ้าอยากจะกำจัด 10 ขันที มันไม่ใช่เรื่องยากเลย รอเพียงโอกาสเหมาะๆจะออกประกาศความผิดของ 10 ขันทีอย่างเป็นทางการหรือจะหาเรื่องเนรเทศจนถึงส่งมือสังหารเข้าไปเมื่อไหร่ก็ทำได้ ในเมื่อพวกตนเป็นผู้กุมอำนาจแล้ว
แต่โฮจิ๋นกลับเลือกแผนการที่ไม่ควรทำที่สุด ซึ่งผู้ให้คำแนะนำและให้การสนับสนุนแผนนี้ก็คืออ้วนเสี้ยว นั่นคือการประกาศอย่างโจ่งแจ้งออกมาว่าต้องการสังหารเหล่าขันที และเรียกระดมเหล่าขุนศึกจากหัวเมืองเข้ามาเมืองหลวง ซึ่งตั๋งโต๊ะเองก็เป็นเจ้าเมืองเสเหลียงที่กุมกำลังทหารนับแสน เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่ได้รับหมายเรียกให้เข้าเมืองหลวงเพื่อปราบปรามเหล่าขันที โดยที่ตั๋งโต๊ะนั้นรอโอกาสที่จะได้เข้ามายังส่วนกลางมานานแล้ว แถมคราวนี้มีคนมายื่นโอกาสให้และยังหาขออ้างอย่างการทำเพื่อความชอบธรรมของบ้านเมืองอีกด้วย ดังนั้นการกระทำของโฮจิ๋นครั้งนี้จึงเป็นการชักนำหายนะเข้ามาให้กับราชวงศ์ฮั่นอย่างที่ตัวเองก็ไม่ตั้งใจแท้ๆ
และการที่โฮจิ๋นทำแบบนี้เป็นการทำให้พวก 10 ขันทีนั้นได้ตั้งตัวและเท่ากับบีบให้พวกเขาต้องเลือกหนทางของหมาจนตรอก
หมาจนตรอกเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเพราะมันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตนมีชีวิตรอดโดยไม่สนใจว่าจะต้องทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและตนเองแค่ไหน
นี่จึงเป็นที่มาให้ 10 ขันทีแอบอ้างราชโองการเรียกโฮจิ๋นเข้ามาสังหาร และก่อเกิดเป็นการนองเลือดในวังหลวงเมื่ออ้วนเสี้ยวสั่งล้างบางพวกขันทีหลังจากนั้น ซึ่งตรงนี้ในนิยายจะบอกว่าเป็นผลงานของโจโฉ
เมื่อตั๋งโต๊ะได้โอกาสทองมายังไม่คาดฝัน แถมยังได้เข้าพบฮ่องเต้ด้วย มีหรือที่คนเล่ห์ร้ายและทะเยอทะยานอย่างเขาจะไม่ฉวยโอกาสไว้
ตั๋งโต๊ะถือโอกาสทองนี้ นำเสด็จฮ่องเต้กลับเข้าเมือง และจากนั้นก็สังหารโฮไทเฮาและปลดฮ่องเต้ลงจากบังลังก์ โดยได้ยกเอาตันหลิวอ๋องผู้เป็นองค์ชายรองซึ่งมีสติปัญญาและบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับการเป็นฮ่องเต้มากกว่าให้ขึ้นนั่งบัลลังก์แทน มีพระนามว่าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้
ส่วนตั๋งโต๊ะนั้น เขาได้ตั้งตัวเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการและกุมอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จแถมยังยกตัวเป็นบิดาของฮ่องเต้ด้วย
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้ที่แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าเป็นปฏิปักษ์กับตั๋งโต๊ะและมีกำลังทหารของตนเองอย่างอ้วนเสี้ยวจึงตัดสินใจหลบฉากออกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองปักเอี้ยง เพื่อรวบรวมกำลังพล เฝ้ารอที่จะก่อการขึ้น แต่โจโฉนั้นรออยู่ดูสถานการณ์ภายในเมืองหลวง และกลายเป็นผู้ใต้บัญชาของตั๋งโต๊ะไป ซึ่งตั๋งโต๊ะก็ชอบใจในความสามารถและความรับผิดชอบของโจโฉ จึงได้ตั้งให้โจโฉเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าเร็ว และขึ้นตรงต่อเขาโดยตรง
แต่ตั๋งโต๊ะก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมอย่างไร้เหตุผลมาก โจโฉอยู่ได้ไม่นานก็ไม่อาจทนสภาพได้ ดังนั้นเมื่ออ้องอุ้นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่วางแผนคิดจะล้มตั๋งโต๊ะ โจโฉจึงขออาสารับหน้าที่แต่ก็ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจหลบฉากออกไปจากเมืองหลวงอีกคน
หลังจากนั้นโจโฉก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดและทำการปลอมแปลงราชโองการและส่งไปทั่วแผ่นดิน เพื่อให้เหล่าขุนศึกทำการรวมตัวกันเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ และก็ได้เสียงตอบรับจากเหล่าขุนศึกทั้ง 18 หัวเมือง ซึ่งขุนศึกใหญ่เหล่านั้นประกอบด้วย
ฮันฮก มณฑลกิจิ๋ว
ขงมอ มณฑลอิจิ๋ว
เล่าต้าย มณฑลกุนจิ๋ว
อองของ เมืองโห้ลาย
เตียวเมา เมืองตันลิว
เตียวโป้ เมืองตองกุ๋น
อ้วนอุ้ย เมืองซุนหยง
เปาสิ้น เมืองเจปัก
ขงเล่ง เมืองปักไฮ
เตียวเถียว เมืองก่องเล่ง
โตเกี๋ยม มณฑลชีจิ๋ว
ม้าเท้ง เมืองเสเหลียง
กองซุนจ้าน เมืองปักเป้ง
เตียวเอี้ยง เมืองเลียงตง
ซุนเกี๋ยน เมืองเตียงสา
อ้วนเสี้ยว เมืองปักไฮและแม่ทัพหลังอ้วนสุด
สุดท้ายคือโจโฉ เมืองตันลิว
กองทัพที่มารวมกันนี้ถูกเรียกว่ากองทัพพันธมิตรกวนตง โดยในที่ประชุมของกองทัพได้เสนอให้อ้วนเสี้ยวที่มีศักดิ์ฐานะและชื่อเสียงบารมีมากที่สุด ขึ้นดำรงตำแหน่งจอมทัพของทัพพันธมิตร ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าที่ผู้คนยอมรับอ้วนเสี้ยวนั้นไม่ได้มาจากความสามารถของเขาเป็นหลัก แต่มาจากฐานะและชาติตระกูลอันยิ่งใหญ่ของเขาต่างหาก
กองทัพพันธมิตรในบัญชาการของอ้วนเสี้ยวได้เข้าประชิดเมืองลกเอี๋ยงและได้เข้าปะทะกับทัพเสเหลียงของตั๋งโต๊ะที่ด่านกักพยัคฆ์ (ฮูเหลา) ซึ่งเป็นศึกที่แจ้งเกิดให้หลายคนไม่ว่าจะเป็น สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แห่งอิจิ๋ว และซุนเกี๋ยนพยัคฆ์แห่งกังตั๋ง
แต่ผลการศึกนั้นปรากฏว่าทัพพันธมิตรเกิดข้อขัดแย้งกันเอง เพราะต่างคนต่างก็ชิงดีชิงเด่นและไม่ไว้วางใจกัน ในที่สุดเมื่อตั๋งโต๊ะได้ทำการเผาเมืองหลวงและย้ายหนีไปที่เมืองเตียงฮัน โจโฉได้เสนอแนะยังที่ประชุมให้รีบนำกองทัพเข้าตีอย่างสายฟ้าแลบ แต่เหล่าขุนศึกต่างลังเล เพราะไม่ต้องการสูญเสียกำลังของตนไป โจโฉโกรธมากจึงนำกองทหารของตนที่มีเพียง 5000 คนบุกโจมตีเพียงลำพังและผลก็คือต้องพ่ายแพ้กลับมา
ทัพพันธมิตรจัดงานเลี้ยงเพื่อปลอบใจโจโฉ แต่เขาโกรธจัดที่เหล่าขุนศึกพวกนี้ต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองจึงลุกขึ้นด่ากราดกลางที่ประชุม และจากนั้นก็ตัดสินใจแยกตัวออกไป
ตรงจุดนี้เองที่แสดงถึงความไม่จริงใจและมุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักของเหล่าขุนศึกแห่งคณะพันธมิตร ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะทัพพันธมิตรนี้รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีผลประโยชน์เป็นพื้นฐาน ด้วยเหล่าขุนศึกล้วนต้องการใช้เป็นบันไดในการสร้างชื่อเสียงเพื่อหวังจะเป็นใหญ่ในวันหน้ากันทั้งนั้น
มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ ในระหว่างการทำศึกที่ด่านฮูเลานั้น สองขุนพลสำคัญของอ้วนเสี้ยวอย่างงันเหลียงและบุนทิวกลับไม่ได้เข้าร่วมศึก เหตุผลเพราะถูกส่งไปนำทัพยังจุดอื่น แต่ด่านฮูเลาตอนนั้นคือจุดเผด็จศึกที่มีการปะทะกันมากที่สุกของเหล่าขุนพล อ้วนเสี้ยวจะไม่รู้ถึงจุดนี้หรือ การที่เขาวางตัวสองขุนพลที่มีฝีมือมากที่สุดของตนไว้ในจุดอื่นทำให้เป็นข้ออ้างไม่ต้องส่งพวกเขาออกศึกกับลิโป้ได้ และนั่นทำให้เหล่าขุนพลเก่งๆของพวกขุนศึกคนอื่นต่างต้องล้มตายในศึกนั้นไปมาก
เป็นที่น่าสนใจว่าอาจเป็นแผนการตัดทอนกำลังของขุนศึกคนอื่นล่วงหน้าของอ้วนเสี้ยว แต่หากเป็นจริง นับว่าอ้วนเสี้ยวก็น่ากลัวมากที่ตัดกำลังได้กระทั่งพวกเดียวกัน
หลังจากคณะพันธมิตรล่มสลายลง อ้วนเสี้ยวก็กลับไปยังเมืองปักเอี้ยง แต่ระหว่างนั้นเขารู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะสร้างฐานอำนาจของตนขึ้นในแดนกิจิ๋ว จึงร่วมมือกับกองซุนจ้านซึ่งหวังจะยึดครองพื้นที่ในกิจิ๋วเช่นกัน ในการเข้าโจมตีฮันฮก แต่อ้วนเสี้ยวเองก็ไม่คิดจะแบ่งดินแดนกิจิ๋วให้กองซุนจ้าน จึงวางแผนซ้อนไว้อีกขั้น และเป็นต้นเหตุให้อ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านแตกหักกันชนิดไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้
เรื่องคืออ้วนเสี้ยวได้ส่งหนังสือลวงไปให้กองซุนจ้านเข้าช่วยกันตีฮันฮกแห่งกีจิ๋วเพื่อแบ่งดินแดนกัน จากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ลวงฮันฮกว่าจะยกทัพมาช่วยเหลือ แต่กลับเข้าจู่โจมเมืองกิจิ๋วจนแตกพ่ายและจับฮันฮกสังหารและได้ครอบครองดินแดนกิจิ๋วทั้งหมด กองซุนจ้านเมื่อรู้เรื่องจึงเดินทางมาเพื่อขอส่วนแบ่งแต่กลับถูกอ้วนเสี้ยววางกำลังทหารดักซุ่มและน้องชายกองซุนจ้านก็ตายไปในระหว่างที่กำลังหนีตาย
ตอนที่กองซุนจ้านกำลังหนีอย่างหัวซุกหัวซุนนั้นก็ได้อัศวินขี่ม้าขาวไร้ชื่อนามจูล่งมาช่วยไว้ และเมื่อพวกเล่าปี่ซึ่งเป็นกองหนุนไปสมทบ ก็ได้ช่วยเอากองซุนจ้านจนรอดจากความตายและกลับสู่ที่มั่นได้ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเองก็ยอมถอนกำลังและเข้าครอบครองแดนกิจิ๋วแต่ผู้เดียว
อ้วนเสี้ยวเป็นขุนศึกคนแรกๆของช่วงกลียุคนั้นเลยก็ว่าได้ที่สามารถสร้างฐานที่มั่นของตัวเองขึ้นมาได้ก่อนใคร กิจิ๋วนั้นเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยบุคลากร ทั้งนักปราชญ์ และนายทหารมีฝีมือมากมาย อ้วนเสี้ยวจึงออกประกาศเชิญเหล่านักปราชญ์ บัณฑิตทั้งหลายที่มีชื่อเสียงให้มารับใช้ตน
อ้วนเสี้ยวนับว่าเป็นคนที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวเองอย่างเด่นชัดจนไม่น่าเชื่อว่าจะมารวมอยู่ในตัวคนเดียวได้ เขารู้ตัวเองดีว่าจุดเด่นของตนคือชาติตระกูลอันสูงส่งของตระกูลอ้วนที่ไม่ว่าใครต่างก็ยอมรับนับถือ เขาจึงวางตัวให้ดูดีสมฐานะของผู้นำตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น และใช้ท่าทางนอบน้อมต่อเหล่านักปราชญ์เพื่อให้พวกเขามารับใช้ตน และเลี้ยงดูพวกเขาอย่างดี
อ้วนเสี้ยวเองก็รู้ข้อด้อยและขีดจำกัดในความสามารถของตนเอง เพราะเขารู้ว่าตนไม่ได้มีสติปัญญาสูงล้ำและความสามารถในการบัญชากองทัพที่เก่งกาจอะไรมากมาย โดยเฉพาะเมื่อมีคู่แข่งอย่างโจโฉเป็นตัวเปรียบเทียบแล้วย่อมจะเห็นชัด เขาจึงใช้วิธีรวบรวมเอาคนมีความสามารถและมีชื่อเสียงทั้งบุ๋นและบู๊เข้าไว้ในสังกัดตนเองให้มากที่สุด เพื่อเป็นการกลบจุดด้อยของตน และเป็นการเสริมสร้างบารมีอีกด้วย ตรงนี้เขายังเหนือกว่าผู้นำหลายคนที่ยึดมั่นแต่กับตนเอง โดยไม่สนใจที่จะรวบรวมคนเก่งมาไว้กับตัว
แต่มันก็เป็นข้อด้อยส่วนหนึ่งของตัวเขาที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เพราะแม้ว่าอ้วนเสี้ยวจะรับคนมาอยู่ด้วยมากมาย คนของเขาล้วนมีชื่อเสียงและเก่งรอบตัว แต่เขาก็ไม่ได้มอบหมายงานที่สมควรให้แก่คนเหล่านั้นเท่าใด การที่เขาดึงเอาคนเหล่านั้นมาไว้กับตัวก็เป็นเพียงแค่ต้องการใช้เสริมบารมีมากกว่าที่จะมุ่งเอาไว้ใช้งานจริงๆ ตรงนี้เองที่เขาแพ้แก่โจโฉอย่างเห็นได้ชัด
ซุนฮก ซึ่งที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของโจโฉนั้นเคยอยู่กับอ้วนเสี้ยวมาก่อน การที่เขาตีผละจากอ้วนเสี้ยวมาและเลือกรับใช้โจโฉนั้น ก็เพราะเหตุผลข้างต้นที่กล่าวไป เขายังมองอ้วนเสี้ยวได้ทะลุอีกว่าแสร้งทำตนเป็นผู้ใจคอกว้างขวาง แต่แท้จริงเป็นการทำไปเผื่อผูกมัดคนให้อยู่กับตน
หลังจากรวบรวมบุคลากรไว้ได้มากมายแล้ว อ้วนเสี้ยวก็ตั้งเป้าหมายที่การเข้าร่วมชิงความเป็นหนึ่งในแผ่นดิน โดยเป้าหมายแรกคือการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือแต่ผู้เดียว ดังนั้นศัตรูสำคัญที่ต้องจัดการก่อนคือกองซุนจ้านแห่งปักเป้ง
อ้วนเสี้ยวใช้กองทัพของตนเข้ากดดันจนกองซุนจ้านต้องซ่อนตัวในกำแพงเมือง แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นและถูกอ้วนเสี้ยวใช้กองทัพเข้าถล่มและกองซุนจ้านก็ถูกประหารทั้งครอบครัว อ้วนเสี้ยวจึงขึ้นเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดของแผ่นดินในเวลานั้น มีกำลังทหาร กุนซือ และแม่ทัพชื่อดังมากที่สุดในแผ่นดิน
ปีค.ศ.196 องค์ฮ่องเต้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้หนีออกมาจากเตียงอาน ที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวได้แนะนำให้เขาอัญเชิญฮ่องเต้มาเพื่อใช้ราชโองการในการอ้างสิทธิ์และความชอบธรรมได้ แต่เขาก็ลังเลและถูกโจโฉตัดหน้าเสียก่อน
อ้วนเสี้ยวเจ็บใจที่ถูกโจโฉตัดหน้า แต่ว่ากันตามตรงแล้วอ้วนเสี้ยวก็คงไม่อยากจะได้ฮ่องเต้มาไว้ในมือสักเท่าไหร่ การชูธงลุกฮือของอ้วนเสี้ยวนั้นในระยะเริ่มแรกนั้นไม่ได้ประกาศออกมาชัดเจนแบบขุนศึกคนอื่น เช่นโจโฉที่เข้ามาค้ำบัลลังก์ฮ่องเต้ เล่าปี่ตั้งเป้าฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น ภายหลังอ้วนเสี้ยวจึงออกมาประกาศตนว่าทำเพื่อพิทักษ์รางวงศ์และช่วยฮ่องเต้จากผู้ที่ทุกคนประณามเป็นทรราชเช่นโจโฉ แต่ทุกคนย่อมรู้กันดีแก่ใจว่าอ้วนเสี้ยวย่อมทำไปเพื่อก่อตั้งราชวงศ์ของตนเองขึ้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
หลังจากที่โจโฉปราบลิโป้และอ้วนสุดลงได้ ตงง้วนก็ถูกแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจอย่างชัดเจน นั่นคืออ้วนเสี้ยวฝ่ายเหนือและโจโฉฝ่ายใต้ โดยทั้งสองฝ่ายมีเพียงแม่น้ำฮวงโหเท่านั้นที่คั่นกลางเขตแดนของตนไว้
การศึกระหว่างอ้วนเสี้ยวกับโจโฉนั้นถือว่าเป็นการตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ครอบครองดินแดนภาคเหนือและภาคกลางแต่ผู้เดียว ซึ่งถือเป็นจุดชี้ว่าอนาคตของทั้งสองฝ่ายจะร่วงหรือจะรุ่งอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ในแผ่นดินต่างมองว่าอ้วนเสี้ยวจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะมีกำลังทหารเหนือกว่ามาก อันที่จริงฝ่ายโจโฉก็มีกำลังทหารมากไม่แพ้อ้วนเสี้ยว แต่เป็นเพราะต้องแบ่งกำลังทหารออกไป
คอยรับศึกด้านอื่น สาเหตุมาจากภูมิประเทศที่เขายึดดินแดนตรงกลางไว้ได้ทำให้เป็นเป้าโจมตีจากกองกำลังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซุนเซ็กและเล่าเปียวทางใต้ ม้าเท้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ เตียวลู่และเล่าเจี้ยงทางตะวันตก
แต่อ้วนเสี้ยวนั้นผิดกัน พื้นที่ของเขานั้นไม่ติดกับกองกำลังฝ่ายใดๆ ทำให้ไม่ต้องกระจายกำลังทหารไปรับศึกด้านอื่น และสามารถที่จะทุ่มกำลังทั้งหมดให้พุ่งเป้ามาที่โจโฉได้
ในการศึกครั้งนี้เริ่มเปิดฉากขึ้นด้วยปลายพู่กัน โดยอ้วนเสี้ยวนั้นใช้ให้ตันหลิมซึ่งเป็นอาลักษณ์ที่มีความสามารถในการเขียน ให้เขียนแถลงการณ์ด่าและประกาศความเลวของโจโฉจนไม่มีชิ้นดี และยังด่ารวมไปถึงพ่อและปู่ของโจโฉซะเละ จากนั้นจึงส่งไปให้แก่โจโฉ
ขณะนั้นโจโฉกำลังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจากโรคที่ภายหลังจะกลายเป็นต้นเหตุที่จะพรากชีวิตเขาไป นั่นคือโรคน้ำในสมอง
เมื่อโจโฉได้อ่านแถลงการณ์ที่ตันหลิมเขียนแล้ว ก็โกรธจัดจนกระทั่งหายปวดหัวไปเลย และสั่งว่าหากจับตันหลิมผู้นี้ได้ ต้องฆ่าทิ้งเสีย ซึ่งภายหลังเมื่อจับตัวตันหลิมได้ เขาได้สอบถามว่าทำไมตันหลิมต้องเขียนด่าถึงพ่อและปู่เขาด้วย ตันหลิมบอกว่าธนูนั้นเมื่อจะง้างแล้วต้องง้างให้สุด ในเมื่อเขาทำงานให้อ้วนเสี้ยวก็ต้องทำตามที่นายสั่งอย่างเต็มที่ โจโฉชอบใจในตัวตันหลิมจึงรับเขามาใช้งานแทนที่จะประหารอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ในตอนแรก
จากนั้นสงครามระหว่างโจและอ้วนก็เริ่มขึ้นที่ท่าข้ามแปะแบ๊ ในการศึกครั้งนี้ช่วงแรกอ้วนเสี้ยวเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะแม่ทัพคนสำคัญอย่างงันเหลียงสามารถตีกองทัพของโจโฉจนแตกพ่าย ภายหลังโจโฉจึงสั่งให้กวนอูที่มาเข้าสวามิภักดิ์ออกรบและสามารถจัดการกับงันเหลียงลงได้
สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายของงันเหลียงทั้งที่เป็นขุนพลฝีมือชั้นเอกคนหนึ่งนั้น อาจเป็นเพราะเขาเสียสมาธิและไม่เตรียมพร้อมขณะต่อสู้ เรื่องคือตอนนั้นอ้วนเสี้ยวได้รับเอาเล่าปี่ที่หนีภัยจากโจโฉเข้ามาอยู่ด้วย เนื่องจากเขาได้ข่าวว่าเล่าปี่ได้รับเอาเข็มขัดที่ใส่พระราชโองการที่ให้จัดการกับโจโฉเอาไว้ เขาจึงมองว่าหากได้ตัวเล่าปี่มาก็จะมีความชอบธรรมในการที่เขาจะล้มล้างโจโฉที่กุมอำนาจบริหารในขณะนั้น
งันเหลียงเมื่อเห็นกวนอูก็กำลังจะตะโกนบอกต่อกวนอูว่าขณะนี้เล่าปี่อยู่กับฝ่ายตน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เตรียมพร้อม และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาสิ้นชื่อภายในกระบวนท่าเดียว
และในการศึกครั้งต่อมากวนอูยังสามารถจัดการกับบุนทิวแม่ทัพเอกของอ้วนเสี้ยวอีกคนลงได้ ชื่อเสียงของกวนอูจึงโด่งดังและเป็นที่หวาดกลัวของทหารข้าศึก
แต่ในที่สุดกวนอูพบว่าเล่าปี่อยู่ในกองทัพของอ้วนเสี้ยว จึงตัดสินใจผละจากโจโฉกลับไปหาเล่าปี่ซึ่งโจโฉก็จำยอม เพราะได้มีสัญญาลูกผู้ชายกันไว้
หลังเสียกวนอูไป กองทัพของโจโฉก็ถอนกำลังออกจากท่าข้ามแปะแบ๊และมาตั้งมั่นที่กัวต๋อ ซึ่งตัวโจโฉกะใช้ที่เป็นฐานบัญชาการในการเผด็จศึกขั้นสุดท้าย ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจึงเข้ายึดท่าข้ามแปะแบ๊และตั้งใจจัดการกับโจโฉที่กัวต๋อให้จบเรื่อง
อ้วนเสี้ยวรู้ว่าฝ่ายตนมีจุดแข็งที่จำนวนทหารที่เหนือกว่า จึงใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเข้าโจมตีกดดันฝ่ายโจโฉชนิดไม่ให้โงหัวขึ้น ด้วยการระดมยิงธนูเป็นห่าฝนใส่ทัพของโจโฉจนทหารโจโฉไม่อาจตอบโต้ได้ และขวัญทหารของฝ่ายโจโฉก็ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่สุดขีด
สงครามคือการต่อสู้ของกำลังขวัญทหาร ถึงแจะมีจำนวนมากกว่า แต่หากกำลังขวัญที่จะต่อสู้ต่ำ ก็ไม่อาจจะเอาชนะทัพที่น้อยกว่าได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึก เรื่องกลยุทธ์และความสามารถของแม่ทัพนั้นถือเป็นเรื่องรองลงมา
จะว่าไปรูปแบบการโจมตีที่กดดันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ตั้งตัวและเสียกำลังใจไปเรื่อยๆแบบนี้ ก็เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับทัพของอ้วนเสี้ยวที่จะใช้ในศึกนี้แล้ว เพราะกำลังทหารเหนือกว่ามาก ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าสู้ด้วยกลยุทธ์พิศดารหรือค่ายกลบนสนามรบ เพราะหากสู้กันด้วยวิธีแบบนี้น ฝ่ายอ้วนเสี้ยวที่มีความสามารถในการบัญชาการทัพด้อยกว่าโจโฉย่อมอาจจะแพ้ได้ หลังจากเสียงันเหลียงและบุนทิวไปแล้ว เหล่าแม่ทัพของอ้วนเสี้ยวที่เหลือ ถ้าจะว่าไปก็มีความสามารถด้อยกว่าของโจโฉ
แต่ผลทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ในเมื่อการกดดันของทัพของอ้วนเสี้ยวที่น่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก จากการโจมตีราวพายุและกำลังทหารที่มีมากกว่า กลับไม่อาจตีฝ่ายโจโฉให้แตกพ่ายได้เสียทีและยังคงมีกำลังใจที่จะต่อสู้ ฝ่ายที่เริ่มสูญเสียกำลังใจย่อมกลายเป็นฝ่ายทัพของอ้วนเสี้ยวเสียเอง
เมื่อชัยชนะที่ควรจะได้มาอย่างง่ายดาย กลับไม่เป็นตามคาด ประกอบกับลักษณะของตัวผู้นำทัพอย่างอ้วนเสี้ยวที่มีข้อเสียในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด และความขัดแย้งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายในเหล่าแม่ทัพและกุนซือในกองทัพของอ้วนเสี้ยว ทำให้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง
เรื่องความเปลี่ยนแปลงนี้ฝ่ายโจโฉนั้นได้ซุนฮกเคยทำนายเอาไว้ กุยแกเองก็ได้ให้คำยืนยันที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้โจโฉในการที่จะสู้ต่อโดยไม่ถอยนั่นคือ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวและโจโฉมีข้อเปรียบเทียบกัน 10 ประการและโจโฉชนะอ้วนเสี้ยวถึง 10 ประการ นั่นคือ
"ท่านชนะสิบประการนั้นคือ ท่านมิได้ถือตัว ถึงกระทำการสิ่งใด ถ้าผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดแลชอบ ท่านก็เห็นด้วยประการหนึ่ง น้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่ง ท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงเป็นอันมากประการหนึ่ง ท่านใจสัตย์ซื่อเลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ญาติพี่น้อง ผิดก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่ง ท่านจะคิดทำการส่งใดเห็นเป็นความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จประการหนึ่ง ท่านจะรักผู้ใดก็รักโดยสุจริตมิได้ล่อลวงประการหนึ่ง ท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกันประการหนึ่ง ท่านจะทำการสิ่งใดก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณประการหนึ่ง ท่านชำนาญกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่านก็คิดเอาชนะ ได้สิบประการ"
"ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้นคือ อ้วนเสี้ยวเป็นคนถืออิสริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใดประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบเข้าทำการ โดยโวหารประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใดมิได้สิทธิขาดประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิด และชอบประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใดมักกลับเอาดีเป็นร้าย เอาร้ายเป็นดี มิได้เชื่อใจของตัวประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใด มิได้ปกติ ต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชังประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชังประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่าง ๆ เพราะฟังคำยุยงประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใดเอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียม โบราณประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้รู้กลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้จะแพ้ก็ไม่รู้ เป็นสิบประการ"
คำกล่าวของกุยแกนี้เป็นการมองถึงลักษณะนิสัยของโจโฉและอ้วนเสี้ยวอย่างชัดเจนและมีบันทึกมาในสามก๊กทั้งฉบับนิยายและประวัติศาสตร์ อันน่าจะเป็นข้อยืนยันลักษณะนิสัยของสองจอมคนนี้ได้อย่างดี
กลับมาที่ศึกกัวต๋อ เขาฮิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาสำคัญของอ้วนเสี้ยวได้ตัดสินใจแปรพักตร์ไปอยู่กับโจโฉและบอกที่ตั้งกองเสบียงของอ้วนเสี้ยวให้ทราบ โจโฉจึงตัดสินใจบุกโจมตีกลับแบบสายฟ้าแลบและลอบเผาเสบียงของอ้วนเสี้ยวในภาวะที่ทหารอ้วนเสี้ยวเริ่มเบื่อหน่ายที่บุกโจมตีไม่สำเร็จ ในเวลาเพียงชั่วคืนเดียว สถานการณ์การรบได้พลิกกลับมาทางโจโฉอย่างไม่น่าเชื่อ
อ้วนเสี้ยวแตกพ่ายและต้องถอยกลับอย่างยับเยิน โจโฉส่งกองทัพตามตีกระหน่ำซ้ำทันทีจนอ้วนเสี้ยวต้องสูญเสียดินแดนริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหไปแทบทั้งหมด เขาเสียใจมากจนล้มป่วยลง
ว่ากันตามตรง แม้จะพ่ายศึกที่กัวต๋อ แต่มันก็คือการพ่ายศึกใหญ่ครั้งหนึ่งที่ไม่ได้คาดคิดทั่วไป อ้วนเสี้ยวยังคงมีดินแดนและกำลังทหารมากมายในมือที่ยังสามารถจะรวบรวมขึ้นมาสู้กับโจโฉอีกได้หลายครั้ง แต่เขากลับเสียกำลังใจที่จะต่อสู้ไป และในที่สุดก็ป่วยหนักและตรอมใจตายในภายหลัง
ความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างสองจอมคนอยู่ตรงนี้เอง ไม่ใช่สติปัญญา ความกล้าหาญ หรือความสามารถในการรบ แต่อยู่ที่จิตใจอันเด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อต่อความลำบากไม่ว่าจะพ่ายแพ้สักกี่ครั้ง
ก่อนที่จะเปิดศึกกัวต๋อ โจโฉนั้นเคยเกือบตายและพ่ายศึกมาหลายครั้งทั้งจากลิโป้ กาเซี่ยง แต่เขาก็ยังยืนหยัดทนสู้มาได้จนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งตงง้วน ในทางกลับกัน อ้วนเสี้ยวไม่เคยมีประสบการณ์ลิ้มรสความพ่ายแพ้ที่ราวกับตกไปในโคลนตมเช่นนั้น ตัวเขาเองก็เกิดมาในตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ไม่เคยเจอความยากลำบาก นี่อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้
เกี่ยวกับความไม่เด็ดขาดของอ้วนเสี้ยวนี้ ยังส่งผลมาถึงเรื่องราวในภายหลังที่ทำให้ตระกูลอ้วนถึงขั้นล่มสลายลง ตัวเขานั้นมีบุตรชายอยู่สามคนคืออ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซง เนื่องจากอ้วนเสี้ยวนั้นรักและชอบอ้วนซงบุตรคนเล็กมากกว่า จึงคิดจะให้เขาขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่ตามธรรมเนียมแล้วนี่ควรเป็นของบุตรคนโต หลังจากอ้วนเสี้ยวตายลงแล้ว จึงเกิดศึกสายเลือดขึ้นระหว่างอ้วนถำและอ้วนซง
การที่อ้วนเสี้ยวไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไปว่าจะให้ผู้ใดเป็นทายาทนี้เองทำให้ตระกูลอ้วนหลังจากเขาตายอยู่ในสภาพสุญญากาศ และนั่นก็ทำให้โจโฉสามารถจัดการทายาทของเขาที่เหลืออยู่โดยง่ายดาย
ปี ค.ศ.206 โจโฉรุกเข้าตีเผ่าวูหวนซึ่งเป็นชนเผ่านอกด่านที่คอยช่วยเหลืออ้วนซง และเข้าไล่ตีจนอ้วนซงและอ้วนฮีต้องถอยไปถึงเหลียวตง และในที่สุดก็ถูกจับประหาร เป็นอันปิดฉากตระกูลอ้วนที่ครอบงำราชวงศ์ฮั่นมายาวนานถึง 4 รุ่นและเป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของจอมคนผู้หนึ่งในสามก๊ก และยังเป็นการปูทางให้โจโฉผงาดขึ้นมาเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของตงง้วน
เรียกว่าเพราะอ้วนเสี้ยวนี่เอง คือผู้ที่ทำให้โจโฉได้เป็นใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น