วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก ประวัติโจโฉ เมิ่งเต๊อะ

สามก๊ก โจโฉ เมิ่งเต๊อะ
สามก๊ก โจโฉ เมิ่งเต๊อะ
ประวัติสามก๊ก ประวัติโจโฉ เมิ่งเต๊อะ
ถ้าถามว่าโจโฉในสายตาของคนอ่านสามก๊กแล้ว เขาคือใคร

ร้อยละ 90 น่าจะให้คำตอบว่า "ผู้ร้ายอันดับหนึ่งในเรื่องสามก๊ก"

แต่ว่าในปัจจุบันนี้ความคิดแบบนั้นเริ่มจะเปลี่ยนไป เมื่อได้มีการศึกษาเรื่องราวในสามก๊กในแง่มุมอื่นมากขึ้นและมีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์มากขึ้น ผู้คนจึงเริ่มรู้ว่าความจริงแล้วนิยายสามก๊กที่ได้อ่านกันมานั้นเป็นเรื่องแต่ง 70 เรื่องจริง 30

และบทบาทของโจโฉจากนิยายและประวัติศาสตร์จริงก็มีความแตกต่างกันมากพอควร

หลอก้วนจงผู้แต่งนิยายสามก๊ก "ซานกั๋วจื้อทงสูเหยี่ยนอี้" นั้น ได้ดัดแปลงเนื้อเรื่องบางส่วนและแต่งเรื่องราวเสริมเข้าไปโดยเขาอาศัยเหตุการณ์บางอย่างในสมัยของเขาซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์หมิงเริ่มก่อตั้งแทรกเข้าไปในนิยายด้วย ทำให้สามก๊กของเขามีความสนุกสนาน น่าตื่นเต้นและมีเรื่องราวพิสดารมากขึ้น

มาถึงสมัยราชวงศ์ชิง สองพ่อลูกเหมาหลุน เหมาจงกังก็ได้พัฒนาปรับปรุงเรื่องสามก๊กขึ้นใหม่จนกลายเป็น "ซานกั๋วเหยี้ยนอี้" และได้ดัดแปลงเรื่องราวให้มันพิสดารเข้าไปอีก ชนิดที่เปลี่ยนแปลงบทบาทและการกระทำของตัวละครบางตัวไปเลย

และโจโฉเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ถูกทั้งหลอก้วนจง และสองพ่อลูกเหมา ดัดแปลงไปมากที่สุด เพื่อที่จะทำให้กลายเป็นผู้ร้ายในนิยายสามก๊ก

เพราะนิยายมันต้องมีตัวเอกและตัวร้าย มันถึงจะสนุก หากว่าไม่มีใครเป็นตัวร้ายเลยเรื่องก็จะขาดสีสันไป และโจโฉก็กลายเป็นตัวร้ายตรงนั้นไป

แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์จริงโจโฉเองก็ได้สร้างความโหดร้ายจนมีชื่อเสียงที่น่าเกรงขาม แต่กระนั้นก็ยังมีคุณความดีไม่ใช่น้อยซึ่งในนิยายสามก๊กค่อนข้างจะละเลยตรงนี้ไปมาก เพราะต้องการเน้นให้โจโฉเป็นตัวร้ายในสายตาคนอ่าน

มรว.คึกฤทธิ์ ท่านเคยเขียนหนังสือเรื่อง โจโฉนายกตลอดกาลเอาไว้ ซึ่งเนื้อหานั้นท่านเน้นไปที่การมองเรื่องต่างๆในสามก๊กโดยยกให้โจโฉเป็นพระเอก และก็มีความสมเหตุสมผลมากมาย

ตัวละครที่ชื่อว่าโจโฉนี้ต้องถือว่ามีสีสันมากจริงๆ เพราะจนถึงบัดนี้แล้วผู้คนก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าแท้จริงเขาเป็นคนเลวหรือว่าเป็นคนดี แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมาแล้ว 2000 ปี

ดังนั้นคราวนี้ลองไปดูเรื่องราวของโจโฉที่ผมจะเล่าบ้างละกันครับ


ประวัติโดยย่อ

โจโฉ หรือเฉาเฉา ชื่อรองคือเมิ่งเต๊อะ ที่แปลว่าคุณธรรมแห่งแสงสว่าง เป็นบุตรชายของโจโก๋ ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของขันทีนามโจเต็ง เกิดเมื่อปี ค.ศ.155 ซึ่งในวัยเด็กเขาถูกเรียกว่า"อาหมาน"

เดิมทีโจโก๋เป็นคนในสกุลแฮหัว แต่โจเต็งนำมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ดังนั้นโจโฉกับคนสกุลแฮหัวจึงถือเป็นญาติสนิทกัน

เล่ากันว่าในวัยเด็ก โจโฉก็ได้แสดงความฉลาดแกมโกงออกมาให้เห็น เมื่ออาของเขานั้นไม่ค่อยจะชอบหน้าเขานักด้วยความที่โจโฉในวัยเด็กเป็นพวกเสเพล อาจึงมักจะเอาพฤติกรรมของเขาไปบอกให้โจโก๋ผู้เป็นพ่อฟังเป็นประจำ ดังนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งโจโฉจึงแกล้งลงไปนอนชัก เมื่ออาของเขารู้เข้าจึงรีบไปบอกโจโก๋ แต่พอโจโก๋มาถึงโจโฉก็แกล้งเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและบอกต่อโจโก๋ว่าเพราะอาของเขาไม่ค่อยจะชอบหน้าเขานักจึงมักจะใส่ไฟเขาเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้นับแต่นั้นมาพ่อของโจโฉก็ไม่เชื่อถืออาของเขาอีก

และยังเล่ากันว่าตัวโจโฉเองนั้นไม่ค่อยได้รับความรักจากแม่มากนัก ด้วยความที่เขาเป็นลูกนอกสมรส แต่กระนั้นโจโฉกลับแสดงความกตัญญูต่อมารดามากจนผู้คนในละแวกเดียวกันยกย่องให้เป็นบุตรกตัญญู นอกจากนี้เขายังสนใจศึกษาวิชาการทั้งบุ๋นและบู๊จนเก่งทั้งสองด้าน รวมไปถึงศึกษาปรัชญาขงจื๊อและเม่งจื๊อจนแตกฉาน

ด้วยความเก่งกาจที่ดังไปทั่วนี้ รวมกับความกตัญญูต่อพ่อแม่ ทำให้ในภายหลังก็ได้ทำให้เขากลายเป็นนักเรียนทุนถูกส่งเข้าไปสอบเป็นข้าราชการที่ส่วนกลาง เมื่ออายุได้ 20 ปี และเข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเป่ยตู้เว่ย หรือตำแหน่งผู้บังคับกองทหารนครบาลเหนือ พูดง่ายๆคือเป็นตำแหน่งของผู้เฝ้าประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นประตูที่มีผู้คนเข้าออกพลุกพล่านมากที่สุดในประตูอีกสี่ทิศที่เหลือและยังเป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังและสถานที่ราชการสำคัญหลายแห่งในเมืองหลวง

แรกที่เข้ารับตำแหน่ง โจโฉก็ดำเนินมาตรการเข้มสั่งประกาศเคอร์ฟิวห้ามผู้คนเข้าออกประตูในยามวิกาล และตรวจตราดูแลเข้มงวดจนโจรผู้ร้ายหายไปหมด และใครก็ตามที่ทำผิด ถึงแม้ว่าจะเป็นคนใหญ่โต หรือเชื้อพระวงศ์เขาก็ลงโทษไม่เว้น จนกิตติศัพท์ความเข้มงวดและความดุดันของผู้กองโจโฉดังไปทั่วเมืองหลวง จากนั้นชาวบ้านก็ได้ขนานนามเขาว่าปีศาจแห่งประตูทิศเหนือ

ด้วยความดุเดือดและเอาจริงจังในการปฏิบัติหน้าที่ของโจโฉนี่เองทำให้เข้าตาผู้ใหญ่บางคนในราชสำนัก และทำให้โจโฉได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ไปเป็นนายอำเภอเมืองตุ้นชิว ซึ่งที่นั่นเขาก็ได้แสดงผลงานการปกครองได้อย่างยอดเยี่ยม

สมัยก่อนเคยมีหมอดูทำนายว่าลักษณะของโจโฉนั้น หากว่าอยู่ในภาวะที่บ้านเมืองสงบสุข เขาจะเป็นขุนนางผู้เก่งกาจสามารถ แต่หากในยามที่บ้านเมืองวุ่นวาย เขาจะเป็นบุรุษผู้เหี้ยมหาญแห่งกลียุค โจโฉได้ฟังเช่นนั้นก็เพียงแค่หัวเราะเบาๆ

หลังจากรับราชการในตำแหน่งนายอำเภอได้ระยะหนึ่งเขาก็ถูกย้ายไปมาเป็นว่าเล่น จนมาถึงจังหวัดจี้หนาน เขาได้สร้างวีรกรรมสำคัญด้วยการปราบปรามกลุ่มลัทธิบูชาเทพเจ้าของที่นั่นซะราบคาบ เพราะกลุ่มพวกนี้มักจะหาประโยชน์จากชาวบ้านที่มีความงมงาย ซึ่งโจโฉก็ได้ดำเนินมาตรการทำลายศาลบูชาเทพเจ้าของพวกนี้ซะเรียบ ซึ่งต้องนับว่าเขาเป็นคนกล้ามากหากดูจากสมัยเมื่อ 2000 ปีก่อนที่ผู้คนยังมีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเหนียวแน่น

หลังจากนั้นโจโฉตัดสินใจลาออกจากราชการกลับไปนานอยู่ที่บ้านเดิม ด้วยวัยเพียง 28 ปี หลังจากลาออกกลับมาอยู่บ้านแล้ว ไม่นานนักแผ่นดินก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อประชาชนชาวผ้าเหลืองได้ทำการลุกฮือขึ้นเพราะไม่พอใจที่ทางการขูดรีด ซึ่งชาวผ้าเหลืองนี่เกือบทั้งหมดล้วนมีพื้นเพมาจากชาวนา

การต่อต้านครั้งแรกของชาวผ้าเหลืองนั้น มีเป้าหมายที่การลอบสังหารพระเจ้าเลนเต้ ซึ่งแน่นอว่าล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แต่กระนั้นก็ได้จุดเชื้อแห่งการลุกฮือขึ้นทั่วแผ่นดิน

ปี ค.ศ. 184 โจโฉถูกเรียกตัวกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารม้าเร็ว เนื่องจากทางการได้จัดตั้งกองกำลังทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้น โดยมีทั้งหมด 8 กรม โจโฉได้เป็นผู้บังคับการกรมที่ 1 และได้เป็นผู้บัญชาการรองกองพล ซึ่งหากนับไปแล้วเท่ากับเขามียศในระดับนายพันว่าที่นายพลไปแล้วตั้งแต่อายุแค่ 30 ปี

โดยหน้าที่สำคัญก็คือการปราบปรามโจรผ้าเหลืองที่กำลังลุกฮือทั่วแผ่นดิน ซึ่งโจโฉจะคอยปราบพวกโจรที่อยู่รอบนครหลวงซึ่งเขาก็ทำได้ดี จนเมื่อการลุกฮือของชาวผ้าเหลืองถูกปราบลง

โจโฉก็ได้ลาออกจากราชการอีกครั้ง และได้ในช่วงนั้นเขาก็ได้แต่งงานกับภรรยาถึงสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนางเปี้ยนสีก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่ชื่อว่าโจผี ซึ่งภายหลังจะกลายเป็นฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์วุย

4 ปีต่อมา โจโฉกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาเล็กโดยอยู่ในสังกัดของอ้วนเสี้ยว ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร ซึ่งมีความสำคัญในฐานะผู้พิทักษ์เมืองหลวง

หลังจากโจโฉเข้ารับตำแหน่งใหม่นี้ได้ไม่นาน พระเจ้าเลนเต้ก็สวรรคตลง ฮ่องเต้องค์นี้ถือเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนทำให้ราชวงศ์ฮั่นต้องนับวันถอยหลังสู่ความล่มสลาย เพราะความที่ไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง และการใช้เวลาแต่ละวันหมดไปกับการเสพสุขจนเกินพอดี

รัชทายาทหองจูเปียน ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียง 14 ปี ด้วยความที่เป็นเด็ก ทำให้อำนาจการบริหารตกไปอยู่ในมือของเหล่าขันที ที่มีเตียวเหลียงเป็นหัวหน้า รวมเรียกว่า 10 ขันที ซึ่งคนเหล่านี้ได้บริหารบ้านเมืองไปตามใจชอบจนเละเทะไปหมด

พระนางโฮไทเฮาเริ่มไม่พอใจขันทีเหล่านี้ จึงให้โฮจิ๋นผู้เป็นพี่ชายซึ่งมีพื้นเพจากคนขายเนื้อ แต่ว่ามาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด วางแผนจัดการ 10 ขันที

รายละเอียดในการจัดการกับ 10 ขันทีนี้ผมขอย่อละกันนะ เพราะเรื่องตรงนี้ยังไม่เกี่ยวข้องกับโจโฉโดยตรง ซึ่งผมขอสรุปว่าอ้วนเสี้ยวได้แนะนำให้โฮจิ๋นเรียกระดมขุนพลจากหัวเมืองเข้ามาช่วยกวาดล้างพวกขันที แต่โจโฉคัดค้าน โดยเขาให้เหตุผลว่า ขันทีเหล่านี้ล้วนเป็นจารีตที่วังหลวงมีมานาน และไม่ใช่ขันทีทุกคนที่เป็นพวกเดียวกับ 10 ขันที ดังนั้นการจะจัดการก็เพียงแค่ส่งมือสังหารจำนวนหนึ่งเข้าไปจัดการก็พอ หรือไม่ก็ประกาศความผิดของเหล่าขันทีอย่างเป็นทางการแล้วตัดสินลงโทษก็ได้

ที่โจโฉเสนอแบบนี้เป็นเพราะเขารู้ว่าถ้าทำการเรียกระดมขุนพลจากหัวเมืองเข้ามาในเมืองหลวง วันหน้าจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ และเรื่องในเมืองหลวงก็ควรจะจัดการกันภายในเมืองหลวง ไม่ควรให้ขุนศึกจากภูธรเข้ามาเกี่ยวด้วย และพวกขันทีก็ไม่ได้มีอำนาจสั่งการทหาร ความจริงแล้วการจะจัดการกับพวกเขาในสภาวะที่โฮจิ๋นคุมอำนาจกองทัพ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ว่าโฮจิ๋นกลับคิดที่จะทำให้มันใหญ่โตเกินไป ซึ่งก็รวมถึงอ้วนเสี้ยวด้วย

แน่นอนว่าความเห็นของขุนนางที่นั่งอยู่ท้ายห้องประชุมของเหล่าเสนาและขุนนางผู้ใหญ่อย่างโจโฉนั้นย่อมถูกปฏิเสธจากโฮจิ๋น และในที่สุดก็ได้มีการร่อนสารส่งไปตามหัวเมืองเพื่อเรียกให้เหล่าขุนศึกเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อปราบปรามกังฉิน

และหนึ่งในขุนศึกของหัวเมืองชายแดนที่ได้รับสารนี้ก็คือชายที่โหดเหี้ยมและน่ากลัวที่สุดคนหนึ่งของยุค "ตั๋งโต๊ะ"

10 ขันทีล่วงรู้แผนการนี้ จึงวางแผนล่อให้โฮจิ๋นเข้าวังเพียงลำพังและสังหารซะ ซึ่งนั่นทำให้อ้วนเสี้ยวและโจโฉที่รอดูเชิงอยู่นอกวัง รีบส่งทหารเข้าล้างบางพวกขันทีจนพวกนี้แทบจะสูญพันธ์ไปเลย

แต่เตียวเหลียงนั้นก็ไวพอที่จะหนีออกนอกเมืองไปก่อนแถมยังพาเอาองค์รัชทายาทและองค์ชายตันลิวอ๋องหนีไปด้วย ซึ่งระหว่างทางก็ได้ถูกตั๋งโต๊ะดักจับได้กลางทาง เตียวเหลียงจึงสั้นชื่อนับแต่นั้น

ส่วนองค์ชายทั้งสองนั้น ตั๋งโต๊ะได้พากลับเข้าเมืองหลวงพร้อมกับทหารที่เขานำมาจากเมืองเสเหลียงอีกนับแสนคน จากนั้นด้วยกำลังทหารที่มากกว่า ตั๋งโต๊ะได้เข้ายึดอำนาจในเมืองหลวง และปลดหองจูเปียนลงจากบัลลังก์ จากนั้นจึงตั้งตันลิวอ๋องที่อายุน้อยกว่าแต่มีความเฉลียวฉลาดและท่วงท่าเหมาะสมแก่การเป็นฮ่องเต้ขึ้นมาแทนที่และทรงพระนามว่าฮั่นเหี้ยนเต้ ซึ่งนี่คือฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

อ้วนเสี้ยวตัดสินใจหลบฉากออกไปตั้งหลักอยู่ที่อื่น แต่โจโฉนั้นรออยู่ดูสถานการณ์ภายในเมืองหลวง และกลายเป็นผู้ใต้บัญชาของตั๋งโต๊ะไป ซึ่งตั๋งโต๊ะก็ชอบใจในความสามารถและความรับผิดชอบของโจโฉ จึงได้ตั้งให้โจโฉเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าเร็ว และขึ้นตรงต่อเขาโดยตรง

แต่ตั๋งโต๊ะก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมอย่างไร้เหตุผลมาก โจโฉอยู่ได้ไม่นานก็ไม่อาจทนรับสภาพได้ ดังนั้นเมื่ออ้องอุ้นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่วางแผนคิดจะล้มตั๋งโต๊ะ โจโฉจึงขออาสารับหน้าที่นี้แต่ก็ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจหลบฉากออกไปจากเมืองหลวงอีกคน

โจโฉกลายเป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งระหว่างทางเขาถูกตันก๋งนายอำเภอเมืองหนึ่งจับตัวได้ แต่ตันก๋งตัดนสินใจปล่อยตัวโจโฉ และออกเดินทางร่วมกับเขาเพื่อหวังว่าเขาจะช่วยกู้ชาติบ้านเมืองได้

ระหว่างทางโจโฉได้เข้าพักที่บ้านของลี้แปะเฉีย ซึ่งเป็นญาติ แต่ด้วยความระแวงว่าจะถูกจับส่งทางการ ทำให้โจโฉได้ฆ่าคนใช้ของลี้แปะเฉียไป และเลยเถิดไปถึงฆ่าลี้แปะเฉียด้วย ตันก๋งถามว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ โจโฉกล่าวประโยคอันเป็นอมตะและเครื่องหมายประจำตัวของเขาว่า

"ข้าทรยศคนทั้งโลกได้ แต่จะไม่ยอมให้ใครทรยศข้า"

ตันก๋งได้ฟังเช่นนั้นก็ตัดสินใจแยกตัวออกมา ซึ่งเรื่องนี้ในสามก๊กแต่ละฉบับบันทึกไม่ตรงกัน จะว่าเป็นเรื่องแต่งเสริมเข้ามาของหลอก้วนจงเพื่อทำให้โจโฉดูโหดเหี้ยมขึ้นมาก็มีโอกาสเป็นไปได้

จากนั้นโจโฉก็ได้เดินทางหนีไปที่เมืองตันหลิวและได้ทำการรวบรวมเงินทองของบ้านพ่อเขาทั้งหมดเพื่อสร้างกองทหารขึ้นมา ได้จำนวน 5000 คนและตามตัวญาติพี่น้องที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยปราบโจรผ้าเหลืองให้เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งพวกเขาก็คือขุนพลชุดแรกของโจโฉที่ประกอบไปด้วย แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหอง ลิเตียน งักจิ้น

หลังจากนั้นโจโฉก็ได้ทำการปลอมแปลงราชโองการและส่งไปทั่วแผ่นดิน เพื่อให้เหล่าขุนศึกทำการรวมตัวกันเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ และก็ได้เสียงตอบรับจากเหล่าขุนศึกทั้ง 18 หัวเมือง(รายชื่อของเหล่าขุนศึกอ่านได้จากเรื่องของลิโป้)

กองทัพที่มารวมกันนี้ถูกเรียกว่ากองทัพพันธมิตรกวนตง โดยมีอ้วนเสี้ยวที่มีตำแหน่งและชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ที่สุดเป็นหัวหน้า ส่วนโจโฉนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการกองทัพและรับตำแหน่งนายพล (เป้ยหวู่เจียงจวุน) ประจำกองทัพพันธมิตร

กองทัพพันธมิตรเข้าประชิดเมืองลกเอี๋ยงและได้ปะทะกับทัพเสเหลียงของตั๋งโต๊ะที่ด่านกักพยัคฆ์ (ฮูเหลา) ซึ่งเป็นศึกที่แจ้งเกิดให้หลายคนไม่ว่าจะเป็น สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แห่งอิจิ๋ว และซุนเกี๋ยนพยัคฆ์แห่งกังตั๋ง

แต่ผลการศึกนั้นปรากฏว่าทัพพันธมิตรเกิดข้อขัดแย้งกันเอง เพราะต่างคนต่างก็ชิงดีชิงเด่นและไม่ไว้วางใจกัน จนในที่สุดตั๋งโต๊ะได้ทำการเผาเมืองหลวงและย้ายหนีไปที่เมืองเตียงฮัน โจโฉได้เสนอแนะยังที่ประชุมให้รีบนำกองทัพเข้าตีอย่างสายฟ้าแลบ แต่เหล่าขุนศึกต่างลังเล เพราะไม่ต้องการสูญเสียกำลังของตนไป โจโฉโกรธมากจึงนำกองทหารของตนที่มีเพียง 5000 คนบุกโจมตีเพียงลำพังและผลก็คือต้องพ่ายแพ้กลับมาอย่างยับเยิน

ทัพพันธมิตรจัดงานเลี้ยงเพื่อปลอบใจโจโฉ แต่เขาโกรธจัดที่เหล่าขุนศึกพวกนี้ต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองจึงลุกขึ้นด่ากราดกลางที่ประชุม และจากนั้นก็ตัดสินใจแยกตัวออกไป

แต่ว่าชื่อของโจโฉก็ได้รับการยอมรับจากเหล่าประชาชนไปแล้ว เพราะในทัพพันธมิตรนั้นมีขุนศึกอยู่เพียงสองคนที่ต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อแผ่นดิน นั่นคือโจโฉและซุนเกี๋ยน ซึ่งส่งผลให้ภายหลังมีผู้มาสมัครเข้ากับกองทัพของเขาอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ตำแหน่งของเขาก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหากเทียบกับขุนศึกคนอื่นๆ

โจโฉได้หนีไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองเฮอไน เมืองนี้อาจจะเป็นเมืองเล็กๆไม่สำคัญอะไรนัก แต่ถ้ารู้แล้วจะหนาว เพราะนี่คือเมืองที่เป็นบ้านเกิดและฐานกำลังลับๆแห่งแรกของชายที่ภายหลังสามารถสยบแผ่นดินสามก๊กเอาไว้ได้ นั่นคือสุมาอี้

จากนั้นโจโฉก็ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไปตีเมืองตงจวุ้นและได้กลายเป็นผู้ว่าราชการเถื่อนของที่นี่ เพราะอ้วนเสี้ยวซึ่งกำลังสร้างกองกำลังของตนคิดจะผูกมิตรกับโจโฉจึงได้ส่งสารแต่งตั้งให้โจโฉ ซึ่งเขาก็จำต้องรับไว้

ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ยอดปราชญ์นามว่าซุนฮกเข้ามาอยู่ด้วยกับเขา โจโฉยกย่องเขามากถึงขนาดพูดว่า ซุนฮกคือเตียวเหลียงของข้า (เตียวเหลียงคือยอดกุนซือผู้ช่วยให้เล่าปังก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ ประวัติศาสตร์จีนยกให้เป็นกุนซือที่เก่งที่สุดหนึ่งในสองคู่กันกับเจียงไท่กง) ซึ่งซุนฮกก็ได้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการจัดการภายในอย่างดีเยี่ยม จากนั้นก็ได้ตัวเทียหยกเข้ามาอีกคน ซึ่งเทียหยกก็ได้ช่วยให้กองทัพของโจโฉมีความเป็นระเบียบมากขึ้น

ตอนนั้นเองทางเมืองเตียงฮันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เมื่อตั๋งโต๊ะได้ถูกลิโป้สังหารและจากนั้นลิฉุยกุยกีก็เข้ายึดอำนาจ ส่งผลให้แผ่นดินจีนตอนนั้นเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้แย่งชิงของเหล่าขุนศึกอย่างแท้จริง

โจโฉได้รับเชิญจากเปาซิ่นเจ้ามณฑลกุนจิ๋วให้มานั่งตำแหน่งเจ้าเมือง เพราะตอนนั้นกุนจิ๋วกำลังประสบปัญหาจากการรุกรานของโจรผ้าเหลืองรุ่นใหม่ ที่มีกำลังคนมหาศาล ในครั้งนี้โจโฉได้ตัวอิกิ๋ม ขุนพลที่เชี่ยวชาญการรบอีกคนมารับใช้

ในการสยบชาวผ้าเหลือง โจโฉได้ใช้จิตวิทยาเข้าทำการเกลี้ยกล่อมชาวผ้าเหลืองที่มีเกือบล้านคนให้เข้ามาเป็นประชาชนของตน ซึ่งการนี้โจโฉก็ได้อนุญาตให้พวกเขานับถือลัทธิไท้ปิงของเตียวก๊กต่อไปได้ แต่คนเหล่านี้ต้องผนวกเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของโจโฉ

และนั่นคือที่มาของกองทหารที่จะกลายเป็นรากฐานสำคัญแห่งการแย่งชิงแผ่นดินของโจโฉในภายหลัง ซึ่งกองทหารเหล่านี้มีความแข็งแกร่งกว่าทหารทั่วไป เนื่องจากพวกเขาคืออดีตชาวผ้าเหลืองที่มีความศรัทธาต่อลัทธิไท้ปิงอย่างแรงกล้า และขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนหนุ่มที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ซึ่งโจโฉเรียกกองทหารเหล่านี้ว่า "กองทหารเซียงจิ๋ว" หรือทหารมณฑลเขียว

เมื่อได้ชาวผ้าเหลืองเหล่านี้เข้ามาเป็นแกนหลักของกองทัพ รวมกับได้ฐานที่มั่นอย่างเมืองกุนจิ๋วแล้วทำให้กองทัพของโจโฉกลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน แต่ถึงกระนั้นถ้าเทียบด้านจำนวนและพื้นที่ของดินแดนในปกครองแล้วเขาก็ยังเป็นรองอ้วนเสี้ยวและหลายๆคนอีกมาก ซึ่งดูเหมือนว่าโจโฉจะไม่ค่อยใส่ใจมากนัก สิ่งที่เขาเน้นคือการเฟ้นหาบุคลากรมากกว่า

แต่โจโฉมีข้อเสียเปรียบอยู่อย่าง ตรงที่เขาเป็นหลานของขันที นั่นทำให้เหล่านักปราชญ์และบัณฑิตมองเขาไม่ขึ้น และไม่มาอยู่ด้วย ซึ่งปัญหานี้ซุนฮกได้ช่วยเขาแก้ไขได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะซุนฮกนั้นเป็นปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากในดินแดนแถบนั้น และซุนฮกก็ได้เชิญชวนเหล่านักปราชญ์คนเก่งมากมายให้มาอยู่กับโจโฉด้วย และบางคนที่ถูกเชิญมาก็จะชวนคนอื่นซัดทอดต่อมาอีก

อีกอย่างหนึ่งคือ โจโฉใช้นโยบาย "เลือกคนที่ความสามารถ ไม่สนชาติตระกูล" ขอเพียงคนๆนั้นมีความสามารถเขาก็จะใช้งานอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นคนต่ำต้อยเพียงไหน หรือมีประวัติชั่วช้าเพียงใด หากมีความสามารถที่จะทำงานได้ตรงกับตำแหน่งหน้าที่ เขาก็รับไว้หมด ด้วยวิธีการนี้ทำให้โจโฉได้คนเก่งมาทำงานด้วยมาก แม้ว่าจะมีพวกที่นิสัยเลวร้ายหรือทะเยอทะยานอยู่ เขาก็ไม่สนใจ และรับมาใช้งานก่อน ซึ่งคนเก่งที่เข้ามาอยู่กับโจโฉในช่วงนี้ที่เด่นๆก็มี กุยแก เล่าหัว ซุนฮิว เตียนอุย เคาทู มอกาย ฮันเฮ่า และเขาก็ยังได้คนจากตระกูลโจและตระกูลแฮหัวเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มอีกด้วย

หลังจากเริ่มตั้งรากฐาน เขาก็ได้นำเอาระบบการทำนาแบบใหม่ที่เรียกว่า"ถุนเถียน"เข้ามาใช้ ซึ่งการทำนาระบบนี้จะเป็นการให้ทหารอาชีพภายในกองทัพเข้าร่วมทำนาพร้อมกับประชาชนในยามที่ไม่มีสงคราม เป็นการทำให้ทหารได้ใช้แรงงานและทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อมีสงคราม พวกเขาก็พร้อมจะแปรสภาพกลายเป็นทหารออกรบในทันที และก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นชิงที่นา เพราะก็จะมีทหารเหล่านี้คอยรักษาเอาไว้ให้ สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น หากไม่มีงานทำหรือมีความต้องการที่จำทำนาแต่ไม่มีนาจะทำ เขาก็จะมอบที่ดินทำกินให้ฟรีๆ เพียงแต่ว่าเขาจะขอเก็บภาษีที่นามากกว่าปกติทั่วไป โดยภาษีที่จะขอเก็บนั่นก็คือผลผลิตที่ได้จากการทำนาครึ่งหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะมากเอาการอยู่ แต่เหล่าชาวนาและประชาชนที่ไม่มีที่อยู่และที่ทำกินก็ยอมรับกันถ้วนหน้า เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีข้าวกินและมีที่ให้หลับนอน ซึ่งผลจากการใช้ระบบถุนเถียนนี้เอง ภายในเวลาไม่กี่ปี โจโฉก็มีเสบียงในยุ้งฉางของกองทัพมากพอที่จะให้ทหารไปได้หลายปี และวิธีนี้ยังเป็นการพลิกฟื้นที่ดินซึ่งแห้งแล้งมาหลายปีเพราะภัยธรรมชาติให้กลับคืนมาได้รวกเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

เล่ากันว่าด้วยระบบถุนเถียนนี้ แม้ว่าจะเป็นเหล่าขุนพลนายทหารคนสำคัญก็ต้องลงไปช่วยทำนาด้วย อย่างเช่นครั้งหนึ่งแฮหัวตุ้นซึ่งเป็นแม่ทัพมือขวาที่สนิทที่สุดและมีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในกองทัพของโจโฉ ยังเคยลงไปช่วยประชาชนทำนาด้วยตัวเองมาแล้ว

ระบบถุนเถียนนี้เล่ากันว่าโจโฉได้ความคิดมาจากที่ปรึกษาสองคนที่ชื่อจ่าวจื่อกับฮันเฮ่า โดยผู้ที่ได้นำไปปฏิบัติจนเห็นผลชัดเจนมีชื่อว่าเย้นจวุ้นซึ่งเป็นน้องเขยของโจโฉที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเกษตรและการคลังอย่างมาก

กลับมาวกถึงเรื่องการสงครามใหม่ละกัน ในปีค.ศ.194 โตเกี๋ยมเจ้ามณฑลชีจิ๋วคิดผูกมิตรกับโจโฉ เมื่อรู้ว่าโจโฉจะนำพ่อมาอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว โตเกี๋ยมจึงอาสาส่งทหารไปรักษาความปลอดภัยให้ แต่ระหว่างทางทหารของโตเกี๋ยมเกิดความโลภในทรัพย์สมบัติที่พ่อโจโฉขนมาจึงสังหารทิ้งและหนีไป

โจโฉโกรธจัด จึงระดมกองทัพประกาศล้างแค้นให้พ่อ ด้วยการยกทหารไปตีเมืองชีจิ๋วและประกาศฆ่าล้างเมืองเพื่อแก้แค้นให้พ่อ ซึ่งการกระทำนี้เองที่ส่งผลให้คนในแผ่นดินต่างประณามว่าโจโฉเป็นคนที่โหดเหี้ยม

โตเกี๋ยมตัดสินใจส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากเล่าปี่ซึ่งตอนนั้นอยู่กับกองซุนจ้าน เล่าปี่นำกองทัพมาช่วย และในระหว่างที่ทัพของโจโฉและเล่าปี่ใกล้จะปะทะกันนั้น โจโฉได้ข่าวร้ายว่าเมืองเฉินหลิวถูกลิโป้ที่ดอดเข้าโจมตี เขาจึงตัดสินใจยกทัพกลับแต่ก็ไม่ทันการและต้องเสียเมืองเฉินหลิวให้ลิโป้ไป ฝ่ายเล่าปี่ก็ได้รับช่วงเมืองชีจิ๋วแทนที่โตเกี๋ยมที่ตายลงหลังจากนั้น

โจโฉกลับไปตั้งหลักได้ไม่นานก็นำกำลังเข้าปะทะกับลิโป้และสามารถเอาชนะลิโป้ได้อย่างงดงาม ทำให้ลิโป้ต้องหนีมาขอพึ่งพิงเล่าปี่

ช่วงนั้นเองมีข่าวมาว่าฮ่องเต้ที่อยู่ในการจับกุมของลิฉุยได้หนีรอดออกมาได้ ซุนฮกและซุนฮิวจึงเสนอให้โจโฉรับตัวฮ่องเต้ไว้ จากนั้นให้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองฮูโต๋ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่า ซึ่งโจโฉก็ทำตาม และได้นำกำลังทหารเข้าตีจนลิฉุยต้องพ่ายแพ้ไป จากนั้นเขาก็เชิญฮ่องเต้ไปประทับที่เมืองฮูโต๋ซึ่งได้เตรียมจัดสร้างไว้ให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ เพราะลกเอี๋ยงเมืองหลวงเก่านั้นมีสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะบูรณะได้

จากนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงแต่งตั้งให้โจโฉดำรงตำแหน่งเจ้าพระยามหาเสนาบดี ควบคุมอำนาจทั้งทหารและพลเรือน จากนั้นเขาก็มุ่งไปปราบเตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเสีย ซึ่งเตียวสิ้วนั้นยอมสวามิภักดิ์อย่างง่ายดาย แต่ในความง่ายนั้นมีบางอย่างแฝงเร้นอยู่

พี่สะใภ้ที่มีอายุน้อยของเตียวสิ้วนามว่านางเจ๋าซือนั้น เป็นที่เล่าลือกันมากในเรื่องความงามที่เหนือใคร โจโฉได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวแสบอยู่แล้ว ในคืนวันที่ได้เมืองอ้วนเสียมา ตนจึงสั่งให้นางเจ๋าซือมาหาและอยู่ด้วยกันตลอดวันคืน

ที่จริงแล้วมันเป็นแผนการที่เตียวสิ้ววางไว้เพื่อล่อให้โจโฉตายใจ ไม่สิผมพูดผิด ความจริงแล้วเป็นแผนการของกุนซือคนสนิทของเตียวสิ้วที่มีนามว่ากาเซี่ยง ซึ่งเป็นจอมเจ้าเจ้าเล่ห์ที่เก่งกาจในการวางกลอุบายได้ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งในเรื่องสามก๊ก โดยกาเซี่ยงได้ใช้นางเจ๋าซือเป็นหมากที่ทำให้โจโฉลุ่มหลงจนตายใจ จากนั้นจึงได้ส่งมือสังหารนามเฮาเฉียเข้าไปจัดการกับเตียนอุย องครักษ์ของโจโฉ ซึ่งก่อนนี้ได้วางยาพิษเตียนอุยไว้แล้ว แต่เตียนอุยก็ยังกลั้นใจสังหารเฮาเฉียได้

การครั้งนี้ เพราะความลุ่มหลงโดยแท้ ทำให้โจโฉต้องสูญเสียยอดองครักษ์เตียนอุย ลูกชายคนโตโจงั่งและหลานชายโจอันปิ๋นไปในความวุ่นวายขณะที่กำลังหนีออกจากเมือง โดยได้เตียนอุยเป็นผู้เสี่ยงตายยืนเฝ้าที่พักของโจโฉไว้จนกระทั่งตัวตาย ส่วนโจโฉนั้นขี่ม้าหนีรอดมาได้

โจโฉเสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้มาก เขาคิดจะล้างแค้นเตียวสิ้วแต่ก็มีคนเตือนว่าให้จัดการกับลิโป้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม ดังนั้นโจโฉจึงตัดสินใจเบนเป้าไปที่ลิโป้อีกครั้ง

โจโฉสั่งเดินหน้าเข้าจัดการกับลิโป้เต็มกำลัง และด้วยการวางแผนของซุนฮิวที่ออกอุบายการติดต่อกับคนในทัพลิโป้อย่างสองพ่อลูกตันกุ๋ยและตันเต๋งให้เป็นไส้ศึก จากนั้นจึงวางแผนล้อมเมืองรวมกับการไขน้ำท่วมเข้าเมืองชีจิ๋วทำให้ลิโป้จนตรอก และในที่สุดก็ถูกโจโฉจับเป็น

ว่ากันว่าวาระสุดท้ายนั้นลิโป้เลือกที่จะร้องขอชีวิต ซึ่งมันไม่สมกับความยิ่ง่ใหญ่ของเขาเลย เดิมทีโจโฉก็คิดจะเก็บลิโป้ไว้ใช้งาน แต่เล่าปี่ยุให้ฆ่าเสีย เพราะคนเนรคุณเช่นนี้เอาไว้ไม่ได้ ดังนั้นเทพสงครามผู้ยิ่งยงจึงจบชีวิตลง และในการนี้ โจโฉก็ได้เตียวเลี้ยว ยอดขุนพลผู้เก่งกาจมาเข้าเป็นพรรคพวก

จัดการปราบลิโป้ได้ในครั้งนี้ ดินแดนภาคกลางแทบจะเป็นของโจโฉเต็มตัว ส่วนเล่าปี่ก็ได้กลายมาเป็นผู้ใต้บัญชาของโจโฉ และได้ตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงพอตัว แต่การที่เล่าปี่ซึ่งไม่ได้มีผลงานอะไรได้รับตำแหน่งแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นได้สองทางว่าโจโฉต้องการมัดตัวเล่าปี่เอาไว้ ส่วนอีกทางหนึ่งคือเพื่อซื้อใจเล่าปี่

ด้วยความที่เป็นคนแซ่เล่าทำให้เล่าปี่ได้โอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระเจ้าอา ซึ่งซุนฮกและเทียหยกนั้นได้แนะนำโจโฉว่าคนอย่างเล่าปี่ไว้ใจไม่ได้ควรจะหาทางกำจัดทิ้ง แต่โจโฉไม่สนใจทำตามเพราะกุยแกทัดทานไว้ และเห็นว่าการสังหารเล่าปี่ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้คนจะทำให้ผู้คนไม่อยากจะเข้ามาทำงานรับใช้ ยิ่งในสถานการณ์ที่กำลังต้องการเพิ่มคนและขยายกองทัพด้วยแล้ว

ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะชายที่ดูภายนอกเหมือนกับไม่มีอะไรอย่างเล่าปี่คนนี้แหละ ในภายหลังจะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญที่สุดในชีวิตของโจโฉอย่างที่เจ้าตัวคงไม่คิดมาก่อน

โจโฉกับเล่าปี่ สองคนนี้มีจุดร่วมและจุดต่างที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ดูแล้วทั้งคู่อาจจะต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่ในความต่างนั้นก็มีความเหมือนที่ลึกซึ้งแฝงอยู่

ทั้งคู่ต่างมีความทะยานอยากอย่างแรงกล้าในการที่จะเป็นผู้นำของปวงประชาและครองแผ่นดินนี้ โจโฉนั้นพยายามปกปิดด้วยการใช้ฮ่องเต้เป็นหุ่นเชิดและตัวเองก็กุมอำนาจบริหารและกองทัพไว้ แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมะสมต่อการสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ เขากลับเลือกที่จะหยุดอยู่แค่อ๋อง ทำให้สามารถหลอกผู้คนทั่วไปได้ แต่การกระทำของเขามันก็ฟ้องอยู่แล้วว่าความจริงเขาไม่ได้พอใจแค่นั้น การที่ซุนฮกต้องมาตายในภายหลังเพราะคัดค้านการขึ้นเป็นวุยก๋ง ถือเป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เล่าปี่ชูธงฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นตลอดมา และประกาศว่าตนไม่เคยคิดจะแทนที่ฮ่องเต้ เพียงแต่ต้องการช่วยราชวงศ์ฮั่นให้พ้นภัยเท่านั้น แต่การกระทำทุกอย่างของเล่าปี่นั้นก็แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดแล้วว่าเขาต้องการเป็นใหญ่ เสียแต่เขามักจะประสบอุปสรรคอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่อาจตั้งตัวได้ และต้องตกเป็นเบี้ยล่างของโจโฉมาตลอด ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั่วไปจึงหลงเชื่อในคำพูดของเขาและสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับโจโฉ แต่ว่าสุดท้ายเมื่อเขาตั้งตัวได้ มีดินแดนปกครองมีกำลังทหารของตนเอง เขาก็เลือกที่จะตั้งตนเป็นฮ่องเต้โดยไม่เกี่ยงงอน

ทั้งสองต่างก็ประสบความสำเร็จและฝากชื่อไว้ในแผ่นดินตามแบบฉบับของพวกเขา แต่โจโฉนั้นอาจจะล้มเหลวกว่าในเรื่องชื่อเสียง ที่เขาได้ทำไว้จนถูกผู้คนตราหน้าว่าชั่วช้ามา 2000ปี

เทียหยกเตือนว่าเล่าปี่ไว้ใจไม่ได้ แต่เขาไม่สนใจ และการที่เขาไม่สนใจเล่าปี่ ทำให้เล่าปี่สามารถเข้าใกล้ชิดฮ่องเต้และขุนนางระดับเชื้อพระวงศ์ได้ และนั่นก็เป็นที่มาของการวางแผนลอบสังหารโจโฉ โดยพระญาติตังสินเป็นผู้มอบเข็มขัดของฮ่องเต้ที่มีคำสั่งลับให้จัดการโจโฉแก่เขา

แต่เล่าปี่รู้ดีว่าศักยภาพของตนไม่อาจทำได้สำเร็จ ถึงแม้จะมียอดฝีมืออย่างกวนอูและเตียวหุยอยู่ค้างกายก็ตามที ดังนั้นก่อนที่ภัยจะมาถึงตัว เขาจึงตัดสินใจชิ่งหนีออกมาด้วยการอ้างว่าจะไปปราบอ้วนสุด และเมื่อตีจากมาได้แล้วเขาก็ประกาศตนเป็นปรปักษ์กับโจโฉทันทีด้วยการเข้ายึดมณฑลชีจิ๋วมาเป็นของตน

โจโฉโกรธมากที่ถูกเล่าปี่หักหลัง และส่งกองทัพไปจัดการไล่ล่าเล่าปี่ จนเล่าปี่ต้องหนีเอาตัวรอดไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว ส่วนกวนอูและเตียวหุยก็หนีไปคนละทิศละทาง

กวนอูถูกโจโฉจับได้ ทีแรกกวนอูไม่ยอมสวามิภักดิ์แต่เมื่อได้เตียวเลี้ยวมาช่วยกล่อมรวมกับว่าภรรยาสองคนของเล่าปี่นั้นอยู่ในความดูแลของกวนอู เขาจึงต้องยอมมาอยู่กับโจโฉ ส่วนโจโฉเมื่อได้กวนอูมาก็ตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพคนสำคัญ

จากนั้นโจโฉก็เบนเป้าหมายใหม่ไปที่ภาคเหนือและเป็นการเริ่มเปิดฉากการศึกกับผู้ที่มีกำลังทหารใหญ่โตและดินแดนมากที่สุดในเวลานั้นอย่างอ้วนเสี้ยว

การศึกกับอ้วนเสี้ยวสำหรับโจโฉนั้นถือว่าเป็นการตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ครอบครองดินแดนภาคเหนือและภาคกลางแต่ผู้เดียว ซึ่งถือเป็นจุดชี้ว่าอนาคตของโจโฉจะร่วงหรือจะรุ่งอย่างแท้จริง และโจโฉก็มีข้อเสียเปรียบในเรื่องกำลังทหารที่ฝ่ายอ้วนเสี้ยวมีมากกว่าชนิดทาบกันไม่ได้ เพราะโจโฉนั้นต้องแบ่งทหารบางส่วนไปคอยรับศึกด้านอื่น สาเหตุมาจากภูมิประเทศที่เขายึดดินแดนตรงกลางไว้ได้ทำให้เป็นเป้าโจมตีจากกองกำลังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซุนเซ็กและเล่าเปียวทางใต้ ม้าเท้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ เตียวลู่และเล่าเจี้ยงทางตะวันตก และอ้วนเสี้ยวจากทางตอนเหนือ

แต่อ้วนเสี้ยวนั้นผิดกัน พื้นที่ของเขานั้นไม่ติดกับกองกำลังฝ่ายใดๆ ทำให้ไม่ต้องกระจายกำลังทหารไปรับศึกด้านอื่น และสามารถที่จะทุ่มกำลังทั้งหมดให้พุ่งเป้ามาที่โจโฉได้ ซึ่งความแตกต่างเรื่องจำนวนทหารนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนในภายหลังเมื่อกองทัพของเขาได้เผชิญหน้ากับกองทัพมหึมาหลายแสนคนของอ้วนเสี้ยว

เกือบลืมไป เตียวสิ้วที่เคยทำให้เตียนอุยและโจงั่ง บุตรชายเขาต้องตายไปนั้น ได้มาขอสวามิภักดิ์ ซึ่งโจโฉก็ตกลงยินยอมโดยเห็นแก่ประโยชน์เบื้องหน้า จึงยอมละความแค้นไปก่อน และทำให้ได้ตัวกาเซี่ยง กุนซืออัจฉริยะที่เคยวางแผนเล่นงานเขาเกือบตายมาแล้วเป็นพวกด้วย

ในการศึกกับอ้วนเสี้ยวนั้นได้เริ่มเปิดฉากขึ้นด้วยปลายพู่กัน โดยอ้วนเสี้ยวนั้นใช้ให้ตันหลิมซึ่งเป็นอาลักษณ์ที่มีความเก่งกาจในการเขียน ให้เขียนแถลงการณ์ด่าและประกาศความเลวของโจโฉจนไม่มีชิ้นดี และยังด่ารวมไปถึงพ่อและปู่ของโจโฉซะเละ จากนั้นจึงส่งไปให้แก่โจโฉ

ขณะนั้นโจโฉกำลังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจากโรคที่ภายหลังจะกลายเป็นต้นเหตุที่จะพรากชีวิตเขาไป นั่นคือโรคน้ำในสมอง

เมื่อโจโฉได้อ่านแถลงการณ์ที่ตันหลิมเขียนแล้ว ก็โกรธจัดจนกระทั่งหายปวดหัวไปเลย และสั่งว่าหากจับตันหลิมผู้นี้ได้ ต้องฆ่าทิ้งเสีย ซึ่งภายหลังเมื่อจับตัวตันหลิมได้ เขาได้สอบถามว่าทำไมตันหลิมต้องเขียนด่าถึงพ่อและปู่เขาด้วย ตันหลิมบอกว่าธนูนั้นเมื่อจะง้างแล้วต้องง้างให้สุด ในเมื่อเขาทำงานให้อ้วนเสี้ยวก็ต้องทำตามที่นายสั่งอย่างเต็มที่ โจโฉชอบใจในตัวตันหลิมจึงรับเขามาใช้งานแทนที่จะประหารอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ในตอนแรก

จากนั้นสงครามระหว่างโจและอ้วนก็เริ่มขึ้นที่ท่าข้ามแปะแบ๊ โดยในการศึกครั้งนี้ช่วงแรกโจโฉเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพราะแม่ทัพคนสำคัญของอ้วนเสี้ยวที่ชื่องันเหลียงสามารถตีกองทัพของโจโฉจนแตกพ่าย แม่ทัพของโจโฉหลายคนออกศึกปะทะกับงันเหลียงพ่ายแพ้ ทหารเสียขวัญ โจโฉจึงสั่งให้กวนอูออกรบและเขาก็สามารถจัดการกับงันเหลียงที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดแม่ทัพคนหนึ่งของยุคลงได้อย่างไม่ยากเย็น

แถมในการศึกครั้งต่อมากวนอูยังสามารถจัดการกับบุนทิวแม่ทัพเอกของอ้วนเสี้ยวอีกคนลงได้ ชื่อเสียงของกวนอูจึงโด่งดังและเป็นที่หวาดกลัวของทหารข้าศึก แต่สามก๊กฉบับเฉินโซ่วและบางฉบับบันทึกว่ากวนอูไม่ได้สังหารบุนทิวแต่เป็นโจโฉที่ออกรบกับบุนทิวแล้วใช้กลศึกหลอกล่อจนบุนทิวพลาดท่าและถูกทหารรุมสังหาร ซึ่งไม่แน่ใจเช่นกันว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร

แต่กวนอูพบว่าเล่าปี่อยู่ในกองทัพของอ้วนเสี้ยว จึงตัดสินใจผละจากโจโฉกลับไปหาเล่าปี่ซึ่งโจโฉก็จำยอม เพราะได้มีสัญญาลูกผู้ชายกันไว้

ถึงจะเสียกวนอูไป แต่กองทัพของโจโฉก็ยังอุดมด้วยแม่ทัพอีกหลายคน จึงไม่ได้มีผลกระทบต่อกองทัพมากนัก และเขาก็ได้ตัดสินใจใช้ตำบลกัวต๋อเป็นฐานบัญชาการในการเผด็จศึกขั้นสุดท้ายกับอ้วนเสี้ยว

ทัพโจโฉเริ่มต้นด้วยการตั้งรับเพียงย่างเดียว และเป็นทัพของอ้วนเสียวที่ระดมยิงธนูเป็นห่าฝนใส่ทัพของโจโฉจนโงหัวไม่ขึ้น จนขวัญทหารของฝ่ายโจโฉตกอยู่ในสภาพย่ำแย่สุดขีด

สงครามคือการต่อสู้ของกำลังขวัญทหาร ถึงแจะมีจำนวนมากกว่า แต่หากกำลังขวัญที่จะต่อสู้ตกต่ำ ก็ไม่อาจจะเอาชนะทัพที่น้อยกว่าได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึก เรื่องกลยุทธ์และความสามารถของแม่ทัพนั้นถือเป็นเรื่องรองลงมา

การโจมตีที่แทบจะไม่ให้โอกาสทัพของโจโฉได้หายใจของกองทัพอ้วนสี้ยวนั้นทำให้กำลังใจทหารของโจโฉลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ

ทั้งที่ทัพของอ้วนเสี้ยวน่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก จากการโจมตีราวพายุและกำลังทหารที่มีมากกว่า แต่ฝ่ายโจโฉกลับสามารถที่จะยันเอาไว้ได้ และยังคงมีกำลังใจที่จะต่อสู้ แบบนี้ฝ่ายที่จะเริ่มสูญเสียกำลังใจไปย่อมกลายเป็นฝ่ายทัพของอ้วนเสี้ยว

เมื่อชัยชนะที่ควรจะได้มาอย่างง่ายดาย กลับไม่เป็นตามคาด ประกอบกับลักษณะของตัวผู้นำทัพอย่างอ้วนเสี้ยวที่มีข้อเสียในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด และความขัดแย้งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายในเหล่าแม่ทัพและกุนซือในกองทัพของอ้วนเสี้ยว ทำให้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง

เรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในกองทัพนี้ซุนฮกเคยทำนายเอาไว้ และรวมกับคำแนะนำของกุยแก ทำให้โจโฉที่เดิมคิดจะถอยทัพ ตัดสินใจยื้อสู้ต่อ และทารของอ้วนเสี้ยวก็เริ่มที่จะเสียกำลังใจขึ้นมาบ้างที่บุกเท่าไหร่ก็ตีไม่แตกสักที

เขาฮิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาสำคัญของอ้วยเสี้ยวได้แปรพักตร์มาหาโจโฉและบอกที่ตั้งกองเสบียงให้ทราบ ดังนั้นโจโฉจึงตัดสินใจบุกโจมตีกลับแบบสายฟ้าแลบและลองเผาเสบียงของอ้วนเสี้ยวในภาวะที่ทหารอ้วนเสี้ยวเริ่มเบื่อหน่ายที่บุกโจมตีไม่สำเร็จ ในเวลาเพียงชั่วคืนเดียว สถานการณ์การรบได้พลิกกลับมาทางโจโฉอย่างไม่น่าเชื่อ

อ้วนเสี้ยวแตกพ่ายและต้องถอยกลับอย่างยับเยิน โจโฉส่งกองทัพตามตีกระหน่ำทันทีจนอ้วนเสี้ยวต้องสูญเสียดินแดนริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหไป และตรอมใจตายในภายหลัง

ว่ากันว่าหลังจากชนะศึกอ้วนเสี้ยวแล้ว ได้มีผู้หวังดีนำเอาจดหมายที่ฝ่ายอ้วนเสี้ยวส่งมาเพื่อชักชวนคนของฝ่ายโจโฉมาเขาดูเพื่อทำการลงโทษคนเหล่านั้น แต่โจโฉไม่ติดใจเอาความและให้เผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งเสีย ด้วยศิลปะการผูกใจคนแบบนี้ ทำให้โจโฉได้ใจของผู้คนจำนวนมาก

หลายคนเคยประนามถึงการกระทำลักษณะนี้ของโจโฉว่าเป็นการเสแสร้งเพื่อซื้อใจคน แต่ถามกลับว่าแล้วเล่าปี่ที่ผู้คนยกย่องนักหนาก็ไม่ต่างกันไม่ใช่รึ การกระทำแต่ละอย่างของเล่าปี่ก็เป็นไปเพื่อการซื้อใจคนเช่นกัน เรื่องเหล่านี้เราพูดไม่ได้หรอกว่าเสแสร้งรึจริงใจ เพราะในความเสแสร้งนั้นบางครั้งมันก็มีความจริงใจปนอยู่ด้วย เช่นเดียวกับความจริงใจที่บางครั้งก็มีความเสแสร้งปนอยู่ ซึ่งเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการแล้ว บางครั้งก็ต้องทำเรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีมากว่าพันปีจนถึงปัจจุบัน

เสร็จศึกอ้วนเสี้ยว เขาก็เริ่มหันมาทำการพัฒนาบ้านเมืองมากขึ้น โดยปรับปรุงระบบการศึกษาในเขตปกครองให้ขยายไปมากที่สุด และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เหลวแหลกกว่าหลายสิบปีในสมัยของพระเจ้าเลนเต้ให้กลับมาได้อีกครั้ง

จากนั้นเมื่อปี ค.ศ.206 โจโฉสามารถปราบปรามตระกูลอ้วนที่เหลืออยู่ได้อย่างเด็ดขาด และปีต่อมาก็ได้ยกทัพปราบปรามเผ่าวูหวนซึ่งเป็นชนเผ่านอกด่าน โดยอาศัยเตียวเลี้ยวเป็นทัพหน้า เข้าตีทัพของเผ่าวูฮวนจนกระเจิง ส่วนทายาทตระกูลอ้วนเช่นอ้วนซงและอ้วนฮีที่หนีไปก็ถูกสังหาร ทำให้เขากลายเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของภาคเหนือและภาคกลาง มีกำลังทหารเข้มแข็งที่สุดแม่ทัพกุนซือมากมายที่สุดและมีดินแดนปกครองมากที่สุดในประเทศจีนเวลานั้น

ตอนนี้โจโฉอายุ 52 ปี ถือว่ามีวัยวุฒิและประสบการณ์เพียบ บารมีของเขาก็ยิ่งใหญ่ขนาดที่กลบรัศมีฮ่องเต้ ดังนั้นจุดมุ่งหมายในการรวมประเทศของเขาก็เริ่มที่จะใกล้ความจริงเข้าไปทุกที

ศัตรูสำคัญที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มี ม้าเท้ง เล่าเปียว เล่าเจี้ยง เตียวลู่ แต่ที่แข็งแกร่งจริงๆในเวลานั้นก็คือซุนกวนที่ครองความยิ่งใหญ่ทางใต้ ดังนั้นเป้าหมายต่อไปของโจโฉจึงอยู่ที่การปราบภาคใต้

แต่เขาหารู้ไม่ว่าศัตรูคนสำคัญยังมีอยู่อีกคน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีเมืองเป็นของตนเองแต่ในอนาคตคนผู้นี้จะกลับมาขัดขวางงานใหญ่ของเขาอีกครั้งนั่นคือเล่าปี่


เล่าปี่ได้หนีไปอยู่กับเล่าเปียวที่เกงจิ๋ว และได้รับมอบดูแลเมืองซินเอี๋ยอันเป็นเมืองหน้าด่านเพื่อรับมือกับกองทัพโจโฉในอนาคตและในปีนี้เองเล่าปี่ก็ได้เชิญชายซึ่งเป็นคู่แค้นคนใหม่ของโจโฉอีกคนให้ลงมากจากเขา นั่นคือขงเบ้ง เพียงแต่เขาคนนี้เป็นคู่แค้นที่โจโฉไม่เคยได้พบหน้ากันสักครั้งในชีวิต

ปี ค.ศ. 208 เมื่อภาคเหนือและกลางสงบราบคาบแล้ว เขาก็ไม่รอช้าตระเตรียมกำลังพลเพื่อลงไปสู่เมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียว ซึ่งถือว่าเป็นเมืองอันเป็นประตูสำคัญในการลงสู่ภาคใต้

และในปีนี้เองเขาก็ได้รับตำแหน่งสำคัญจากพระเจ้าเหี้ยนเต้นั่นคือตำแหน่งมหาอุปราชหรือนายกรัฐมนตรีแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งเป็นจุดเริ่มของความยิ่งใหญ่และความทรราชย์ในฐานะวีรบุรุษคนโฉดแห่งยุค

อ่านต่อ ประวัติสามก๊ก ประวัติโจโฉ เมิงเต๊อะ 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น