วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติ กุยแก ฟ่งเซี่ยว

ประวัติ กุยแก ฟ่งเซี่ยว
ถ้าขงเบ้งคือกุนซือหมายเลขหนึ่งของเล่าปี่ กุยแกคือกุนซือหมายเลขหนึ่งของโจโฉ แต่น่าเสียดาย ที่ชีวิตของเขานั้นสั้นเกินไป

ตอนที่กุยแกเสียชีวิตลงนั้น ขงเบ้งยังคงอาศัยอยู่บนดอยที่หลงจง และยังไม่มีชื่อเสียงหรือผลงานอะไร แต่ตอนนั้นกุยแกได้กลายเป็นกุนซือชื่อดังที่มีส่วนช่วยเหลือให้โจโฉพิชิตอ้วนเสี้ยวผู้มีอิทธิพลมากที่สุดทางตอนเหนือได้

หลายคนเสียดายที่กุยแกตายเร็วไปทำให้ไม่ได้พิสูจน์สติปัญญากับขงเบ้ง ว่าใครจะเหนือกว่าใคร

ตอนที่โจโฉยกทัพลงใต้เพื่อจะพิชิตซุนกวนในศึกเซ็กเพ็กนั้น มีกุนซือบางคนที่ทัดทานไว้ แต่โจโฉนั้นกำลังมั่นใจในตัวเองจึงไม่สนคำเตือนเหล่านั้น จนเมื่อพ่ายศึกกลับมา โจโฉจึงได้บ่นเสียดายว่าถ้าหากกุยแกยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็เขาคงจะไม่พ่ายศึกแบบนี้ เพราะกุยแกคงจะทัดทานเขาเอาไว้ได้


โจโฉนั้นเคยพูดให้คนใกล้ชิดหลายๆคนฟังว่า ในบรรดาคนสนิทของเขาทุกคนนั้น กุยแกมีอายุน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงคิดจะฝากฝังครอบครัวให้กุยแกไว้ถ้าหากตัวเองต้องตายไป

จะเห็นได้ว่ากุยแกมีความสำคัญสำหรับโจโฉมากจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเราจะไปดูเรื่องราวของกุยแกกัน

ประวัติโดยย่อ

กุยแก หรือกั๊วะเจียะ ชื่อรองฟ่งเซี่ยว เกิดเมื่อปี ค.ศ. 170 เป็นชาวเมืองอวี๋ มณฑลเหอหนาน เป็นบัณฑิตที่มีความรู้เก่งกาจ ท่วงท่าสง่างาม ขึ้นชื่อในเรื่องการชอบวิพากษ์และเสียดสีสังคม มีชื่อเสียงมากตั้งแต่วัยหนุ่ม จนอ้วนเสี้ยวซึ่งกำลังมีชื่อเสียงขึ้นมาในตอนนั้นได้ชักชวนให้ไปรับราชการด้วย

นับจากตั๋งโต๊ะสิ้นลง อ้วนเสี้ยวกำลังขยายอิทธิพลและกำลังจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนเหนือ ด้วยความที่ตระกูลเป็นขุนนางสืบทอดถึง 4 สมัย กุยแกจึงยอมไปรับราชการด้วย แต่เมื่ออยู่ได้ไม่นาน เขาพิจารณาดูแล้ว นิสัยของอ้วนเสี้ยวนั้นไม่อาจทำการใหญ่ได้ และยังมีใจคอคับแคบ เขาจึงได้ผละจากมา

เวลานั้นเองโจโฉกำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาโดยได้ยึดครองเมืองกุนจิ๋วและสามารถเกลี้ยกล่อมชาวโพกผ้าเหลืองกว่า 1 ล้านคนให้เข้ามาเป็นราษฎรของตนได้ ส่งผลให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว

ช่วงนั้น ซุนฮก บัณฑิตชื่อดังไปรับราชการอยู่กับโจโฉได้ไม่นาน ซึ่งซุนฮกนั้นรู้จักอยู่กับกุยแกพอสมควร จึงเชื้อเชิญให้เขามาอยู่โจโฉ กุยแกตอบรับคำเชิญชวน และเมื่อได้สนทนากับโจโฉไม่นาน เขาก็ตกลงจะทำงานและฝากชีวิตด้วย ซึ่งก็เป็นเวลายาวนานถึง 11 ปี ซึ่งในตอนนั้นกุยแกยังเป็นกุนซือหนุ่มอายุได้ 27 ปีเท่านั้น
เขาได้บอกเหตุผลที่ที่ผละจากอ้วนเสี้ยวแก่โจโฉว่า

อ้วนเสี้ยวเป็นคนที่อยากมีความปราดเปรื่องอย่างโจวไท่กงของราชวงศ์โจว และเปิดรับคนดีมีฝีมือมาเข้าสังกัด ครั้นได้มาก็ไม่รู้จักใช้ดั่งวานรดั่งแก้ว แล้วยังทำตัวเป็นคนที่ชอบใช้ความคิดอยู่เรื่อย แต่ผลที่ได้แต่ละครั้งไม่ได้ความเสียเลย อยู่กับคนแบบนี้ไปมีแต่อับเฉาเท่านั้น

เมือกุยแกมาอยู่กับโจโฉนั้นเขายังไม่ได้เป็นที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของโจโฉ นั่นเพราะโจโฉมีที่ปรึกษาที่เก่งๆอยู่อีกไม่น้อย โดยเฉพาะซุนฮกและเทียหยก

แต่กุยแกมีสิ่งที่แตกต่างไปจากยอดกุนซืออีกทั้ง 2 คนที่มาอยู่กับโจโฉก่อนหน้านี้
ซุนฮกเก่งในการบริหาร การมองสถานการณ์โดยรวมและกำหนดแผนการระยะยาว

เทียหยกนั้นมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างหยาบๆ และจัดการในเรื่องภายใน โดยเฉพาะด้านระเบียบวินัยทั่วไปของกองทัพ

แต่กุยแกนั้นมีความสามารถในการวางแผนการรบพิสดารและกำหนดกลยุทธ์ให้กับกองทัพของตนเพื่อเอาชนะกองทัพของฝ่ายตรงข้ามนอกจากนี้เขายังสามารถวิเคราะห์การศึกได้ล่วงหน้าได้ราวกับมีตาทิพย์ นั่นเป็นความสามารถที่กุยแกมีเหนือคนอื่นๆในบรรดาที่ปรึกษาคนสำคัญของโจโฉ

ซึ่งผลงานแรกของเขาคือการเสนอแผนการศึกให้โจโฉในการบุกตะลุยลิโป้
ก่อนหน้านี้ โจโฉเสียทีแก่ลิโป้ ขณะที่กำลังยกทัพใหญ่หมายพิชิตชีจิ๋ว ลิโป้ซึ่งเป็นขุนศึกพเนจร อาศัยจังหวะนั้นดอดเข้ายึดเมืองตันลิว และเกือบจะยึดปักเอี๋ยงได้ หากไม่เพราะซุนฮกและเทียหยกวางแผนประสาน จนสามารถรักษาเมืองหลักของโจโฉในเวลานั้นไว้ได้

จากนั้นไม่นาน โจโฉก็ทำการสะสมเสบียงและกำลังทัพเพิ่มเติมจนแข็งแกร่งพอที่จะทำศึกกับลิโป้ เขายกทัพเข้ายึดเมืองตันลิวกลับมา โดยมีกุยแกเป็นที่ปรึกษากองทัพ ภายหลังเมื่อลิโป้หลบไปอยู่กับเล่าปี่ที่ชีจิ๋วและทรยศยึดเมืองชีจิ๋วมา ทำให้เล่าปี่แค้นใจและเข้ามาติดต่อให้โจโฉช่วยปราบลิโป้ โจโฉก็ยกทัพเข้าล้อมเมืองแห้ฝือไว้ ลิโป้อาศัยกองทัพที่แข็งแกร่ง ต้านทานไว้สุดกำลัง แม้ทัพโจโฉจะตีเมืองเป็นเวลาติดต่อกันหลายวันแต่ก็ไม่อาจตีแตกได้ จนเกือบจะถอยทัพกลับ แต่กุยแกเสนอว่าควรจะรุกใส่ไม่ยั้งเพื่อพิชิตให้ได้ และในที่สุด ก็สามารถเอาชัยชนะและจับลิโป้มาประหารได้

ต่อมาซุนเซ็กซึ่งกำลังขึ้นมาเป็นใหญ่ทางตอนใต้นั้นคิดที่จะอาศัยช่วงที่โจโฉเริ่มเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยว นำกำลังทัพของตนขึ้นมาตีเมืองฮูโต๋ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ที่โจโฉสร้างขึ้น

โจโฉร้อนใจเรื่องนี้มาก แต่กุยแกนั้นได้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียดแล้วเห็นว่าไม่ต้องกังวลนัก เพราะเขาดูแล้วว่าแม้ซุนเซ็กจะเป็นนักรบที่ห้าวหาญและเก่งกาจ แต่ว่าใจร้อนและวู่วามด้วยถือดีว่าตนเองนั้นรบเก่ง ที่สำคัญซุนเซ็กเวลาจะไปไหนมาไหนนั้นมักจะไปเพียงลำพังโดยไม่เอาผู้ติดตามไปด้วยเพราะเชื่อมั่นในฝีมือตนเอง

ดังนั้นกุยแกจึงบอกว่าหากจะจัดการกับซุนเซ็กนั้นใช้เพียงแค่มือสังหารคอยดักซุ่มเพียงไม่กี่คนก็เพียงพอ และเขาได้ทำนายไว้เลยว่าคนอย่างซุนเซ็กต้องตายจากการลอบสังหารโดยทหารเพียงไม่กี่คน และมันก็เป็นจริง

นักรบผู้ห้าวหาญที่รบชนะมานับไม่ถ้วนอย่างซุนเซ็กสุดท้ายก็ตายลงเพราะถูกมือสังหารเพียง 3 คนลอบฆ่า ซึ่งนับว่ากุยแกนั้นคาดการณ์ได้แม่นยำจริงๆ

จากนั้นโจโฉก็ได้เปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวในยุทธการที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในสามก๊ก ซึ่งพลิกสถานการณ์แผ่นดินอย่างสิ้นเชิง นั่นคือยุทธการกัวต๋อ

ในศึกนี้โจโฉเป็นรองอ้วนเสี้ยวทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นกำลังทหาร เสบียง กำลังขวัญของทหาร และอ้วนเสี้ยวเองก็ยังมีแม่ทัพนายกองและกุนซือที่เก่งกาจเป็นจำนวนมากไม่แพ้ฝ่ายโจโฉ ในเรื่องชื่อเสียงนั้นแต่ละคนยังมีมากกว่าของฝ่ายโจโฉด้วยซ้ำ อีกทั้งแม้ว่าโดยรวมแล้ว กองกำลังของโจโฉจะมีจำนวนไม่ได้ด้อยกว่าอ้วนเสี้ยวมากนัก แต่เขตพื้นที่และดินแดนในอาณาเขตของโจโฉคือดินแดนภาคกลางของประเทศจีนหรือตงง้วน ซึ่งอาณาเขตนั้นยังติดต่อกับก๊กของขุนศึกต่างๆรอบด้าน ดังนั้นโจโฉจึงไม่อาจจัดกำลังให้รวมศูนย์ทั้งหมดเพื่อทำศึกตัดสินกับอ้วนเสี้ยวได้ โจโฉจำต้องจัดวางกำลังส่วนต่างๆไว้ทางใต้และตะวันตกเพื่อคอยป้องกันกองกำลังของเล่าเปียว ม้าเท้ง รวมถึงซุนเซ็กที่อาจจะฉวยโอกาสที่โจโฉทำศึกกับอ้วนเสี้ยว ในทางกลับกัน อ้วนเสี้ยวนั้นสามารถยึดครองดินแดนทางภาคเหนือได้อย่างราบคาบ ทำให้เขาสามารถจัดกองทัพทั้งหมดเพื่อรวมศูนย์และสามารถรับมือกับโจโฉได้โดยไม่ต้องพะวงกับศึกรอบด้าน

ยุทธการกัวต๋อเริ่มขึ้นจากการศึกที่ท่าข้ามแปะแบ๊ โดยการศึกครั้งนี้ช่วงแรกโจโฉเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเพลี้ยงพล้ำ เพราะงันเหลียง แม่ทัพคนสำคัญของอ้วนเสี้ยวสามารถตีกองทัพของโจโฉจนแตกพ่าย ทหารเสียขวัญ โจโฉจึงสั่งให้กวนอูออกรบและเขาก็สามารถจัดการกับงันเหลียงที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดแม่ทัพคนหนึ่งของยุคลงได้อย่างไม่ยากเย็น

และในการศึกครั้งต่อมากวนอูยังสามารถจัดการกับบุนทิวแม่ทัพเอกของอ้วนเสี้ยวอีกคนลงได้ ชื่อเสียงของกวนอูจึงโด่งดังและเป็นที่หวาดกลัวของทหารข้าศึก

แต่กวนอูพบว่าเล่าปี่อยู่ในกองทัพของอ้วนเสี้ยว จึงตัดสินใจผละจากโจโฉกลับไปหาเล่าปี่ซึ่งโจโฉก็จำยอม เพราะได้มีสัญญาลูกผู้ชายกันไว้

ถึงจะเสียกวนอูไป แต่กองทัพของโจโฉก็ยังอุดมด้วยแม่ทัพที่เก่งกาจ จึงไม่ได้มีผลกระทบต่อกองทัพมากนัก และเขาก็ได้ตัดสินใจใช้ตำบลกัวต๋อเป็นฐานบัญชาการในการเผด็จศึกขั้นสุดท้ายกับอ้วนเสี้ยว

ทัพโจโฉเริ่มต้นด้วยการตั้งรับเพียงอย่างเดียว และเป็นทัพของอ้วนเสี้ยวที่ระดมยิงธนูเป็นห่าฝนใส่ทัพของโจโฉจนโงหัวไม่ขึ้น จนขัวญทหารของฝ่ายโจโฉตกอยู่ในสภาพย่ำแย่สุดขีด

สงครามคือการต่อสู้ของกำลังขวัญทหาร ถึงแม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่หากกำลังขวัญที่จะต่อสู้ต่ำ ก็ไม่อาจจะเอาชนะทัพที่น้อยกว่าได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึก เรื่องกลยุทธ์และความสามารถของแม่ทัพนั้นถือเป็นเรื่องรองลงมา

การโจมตีที่แทบจะไม่ให้โอกาสทัพของโจโฉได้หายใจของกองทัพอ้วนสี้ยวนั้นทำให้กำลังใจทหารของโจโฉลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ

ทั้งที่ทัพของอ้วนเสี้ยวน่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก จากการโจมตีราวพายุและกำลังทหารที่มีมากกว่า แต่ฝ่ายโจโฉกลับสามารถที่จะยันเอาไว้ได้ และยังคงมีกำลังใจที่จะต่อสู้ แบบนี้ฝ่ายที่จะเริ่มสูญเสียกำลังใจไปย่อมกลายเป็นฝ่ายทัพของอ้วนเสี้ยว
เมื่อชัยชนะที่ควรจะได้มาอย่างง่ายดาย กลับไม่เป็นตามคาด ประกอบกับลักษณะของตัวผู้นำทัพอย่างอ้วนเสี้ยวที่มีข้อเสียในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด และความขัดแย้งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายในเหล่าแม่ทัพและกุนซือในกองทัพของอ้วนเสี้ยว ทำให้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง

เรื่องความเปลี่ยนแปลงนี้ซุนฮกเคยทำนายเอาไว้ และรวมกับคำแนะนำของกุยแก ทำให้โจโฉที่เดิมคิดจะถอยทัพ ตัดสินใจยื้อสู้ต่อ ซึ่งกุยแกได้ช่วยย้ำและยืนยันสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้โจโฉในการที่จะสู้ต่อโดยไม่ถอยนั่นคือ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวและโจโฉมีข้อเปรียบเทียบกัน 10 ประการและฝ่ายโจโฉนั้นชนะอ้วนเสี้ยวถึง 10 ประการ นั่นคือ

ท่านชนะสิบประการนั้นคือ ท่านมิได้ถือตัว ถึงกระทำการสิ่งใด ถ้าผู้น้อยจะขัดท่านว่าผิดแลชอบ ท่านก็เห็นด้วยประการหนึ่ง น้ำใจท่านโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งวง แล้วจะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นประมาณ คนทั้งหลายก็ยินดีด้วย ประการหนึ่ง ท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมีสง่า คนทั้งปวงยำเกรงเป็นอันมากประการหนึ่ง ท่านใจสัตย์ซื่อเลี้ยงทหารโดยยุติธรรม ญาติพี่น้อง ผิดก็ว่ากล่าวมิเข้าด้วยผู้ผิด ประการหนึ่ง ท่านจะคิดทำการส่งใดเห็นเป็นความชอบก็ตั้งใจทำไปจนสำเร็จประการหนึ่ง ท่านจะรักผู้ใดก็รักโดยสุจริตมิได้ล่อลวงประการหนึ่ง ท่านเลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้กับอยู่ไกล ถ้าดีแล้วเลี้ยงเสมอกันประการหนึ่ง ท่านจะทำการสิ่งใดก็ทำตามขนบธรรมเนียมโบราณประการหนึ่ง ท่านชำนาญกลสงคราม ถึงกำลังข้าศึกมากกว่าท่านก็คิดเอาชนะ ได้สิบประการ

ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจะแพ้ท่านสิบประการนั้นคือ อ้วนเสี้ยวเป็นคนถืออิสริยยศ มิได้เอาความคิดผู้ใดประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบเข้าทำการ โดยโวหารประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะว่ากิจการสิ่งใดมิได้สิทธิขาดประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเห็นแก่ญาติพี่น้องของตัว มิได้ว่ากล่าวตามผิด และชอบประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะคิดการสิ่งใดมักกลับเอาดีเป็นร้าย เอาร้ายเป็นดี มิได้เชื่อใจของตัวประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะเลี้ยงผู้ใด มิได้ปกติ ต่อหน้าว่ารัก ลับหลังว่าชังประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมักรักคนชิดซึ่งประสมประสาน ผู้ใดห่างเหินถึงซื่อสัตย์ก็มีใจชังประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวกระทำความผิดต่าง ๆ เพราะฟังคำยุยงประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจะทำการสิ่งใดเอาแต่อำเภอใจ มิได้ทำตามอย่างธรรมเนียม โบราณประการหนึ่ง อ้วนเสี้ยวมิได้รู้กลศึก แต่มักพอใจทำการศึกล่อลวง จะชนะก็ไม่รู้จะแพ้ก็ไม่รู้ เป็นสิบประการ

คำกล่าวของกุยแกนี้เป็นการมองถึงลักษณะนิสัยของโจโฉและอ้วนเสี้ยวอย่างชัดเจนและมีบันทึกมาในสามก๊กทั้งฉบับนิยายและประวัติศาสตร์ อันน่าจะเป็นข้อยืนยันลักษณะนิสัยของสองจอมคนนี้ได้อย่างดี

โจโฉยอมทำตามคำแนะนำของทั้งซุนฮกและกุยแก เมื่อตัดสินใจปักหลักสู้ต่อ สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งที่เด่นชัดที่สุดคือจากภายในกองทัพของอ้วนเสี้ยวเอง เมื่อเขาฮิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาสำคัญของอ้วนเสี้ยวได้เกิดผิดใจกับอ้วนเสี้ยวอย่างรุนแรง จึงแปรพักตร์มาหาโจโฉและบอกที่ตั้งกองเสบียงของทัพอ้วนเสี้ยวให้ทราบ ดังนั้นโจโฉจึงตัดสินใจบุกโจมตีกลับแบบสายฟ้าแลบและลอบเผาเสบียงของอ้วนเสี้ยวในภาวะที่ทหารอ้วนเสี้ยวเริ่มเบื่อหน่ายที่บุกโจมตีไม่สำเร็จ ในเวลาเพียงชั่วคืนเดียว สถานการณ์การรบทั้งหมดได้พลิกกลับมาทางโจโฉอย่างไม่น่าเชื่อ

อ้วนเสี้ยวแตกพ่ายและต้องถอยกลับอย่างยับเยิน โจโฉส่งกองทัพตามตีกระหน่ำทันทีจนอ้วนเสี้ยวต้องสูญเสียดินแดนริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหไป จากนั้นกุยแกก็เสนอให้โจโฉรุกกระหน่ำอ้วนเสี้ยวต่อแบบไม่ให้ตั้งตัวได้ติดจนในที่สุดอ้วนเสี้ยวก็ตรอมใจตายลง

แต่ทายาทของอ้วนเสี้ยวอย่างอ้วนถำ อ้วนซง และอ้วนฮียังคงอยู่ซึ่งที่ปรึกษาคนอื่นๆต่างก็เสนอให้โจโฉรุกกระหน่ำต่อไปยังถิ่นของอ้วนเสี้ยว เพื่อทำลายให้ราบคาบ แต่กุยแกคัดค้านและแนะว่าแม้พวกเขาจะเป็นพี่น้องแต่อ้วนถำกับอ้วนซงนั้นไม่กินเส้นกัน หากเรานำทัพยกไปพวกเขาก็จะผนึกกำลังร่วมต่อสู้ แต่หากเราลวงว่าจะยกทัพไปตีเล่าเปียวทางใต้แทน พวกเขาทั้งสองก็จะหันมาห้ำหั่นกันเอง และเมื่อนั้นไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องล้มไปเอง ที่สำคัญตระกูลอ้วนยังคงมีอิทธิพลในแดนของตัวเองอยู่มาก การจะตามตีต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

แผนนี้เป็นกลยุทธ์ในเชิงจิตวิทยา ที่ตีลักษณะพื้นฐานของมนุษย์ได้แตก คนสองคนนั้นแม้จะเป็นอริกันแค่ไหน แต่หากมีศัตรูร่วมกันซึ่งมีความร้ายกาจมากพอที่จะทำให้พวกตนพินาศแล้ว พวกเขาก็จะจำยอมละทิ้งความเป็นอริกันเองแล้วกันมาร่วมมือกันเพื่อต้านทานภัยที่ร้ายแรงกว่านั้น แต่หากภัยร้ายกาจที่ว่านั่นไม่ได้มาถึงตัว พวกเขาก็จะหันกลับมาเป็นอริกันเช่นเดิม

จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ที่กุยแกถนัดและมักเสนอใช้อย่างได้ผลตามประวัติของเขานั้น คือกลยุทธ์เชิงจิตวิทยาที่เกิดจากการอ่านลักษณะความคิดพื้นฐานของมนุษย์ แล้วมาปรับใช้ตามแต่ละสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งนับว่าเป็นกุนซือเพียงไม่กี่คนในสามก๊กที่แตกฉานกลยุทธ์แนวทางนี้

โจโฉทำตามคำแนะนำของกุยแก และในที่สุดก็สามารถได้มณฑลยีโจวของตระกูลอ้วนมาครองได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความดีความชอบในการเสนอแผนการครั้งนี้ทำให้โจโฉประทานตำแหน่งให้กุยแกเป็น เหย่าหยางถิงเหา
อ้วนซงซึ่งแตกพ่ายไปนั้นได้ไปขอพึ่งกษัตริย์ฮวนที่ชื่ออูหยวน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อยู่นอกด่านกำแพงเมืองจีน ในครั้งนี้กุยแกได้เสนอให้โจโฉรุกเข้าไปในแดนของพวกฮวน เพราะว่าตระกูลอ้วนนั้นเคยมีบุญคุณต่อพวกฮวนมาก่อน หากปล่อยนานไปอ้วนซงก็จะสะสมกำลังทหารและอิทธิพลขึ้นมาได้อีก ดังนั้นครั้งนี้จำต้องยกทัพบุกไปในถิ่นศัตรูเพื่อกำจัดให้สิ้นซาก

โจโฉทำตามแผนของกุยแกยกทัพแบบสายฟ้าแลบบุกเข้าถิ่นของพวกฮวนและด้วยแผนการของกุยแกก็ทำให้โจโฉสามารถเอาชัยต่อพวกฮวนและขับไล่ให้อ้วนซงและพี่ชายอีกคนคืออ้วนฮีต้องถอยหนีลึกไปในแดนเหลียวตง
หลังจากจัดการขับไล่ตระกูลอ้วนออกไปได้แล้ว กุยแกก็เกิดล้มป่วยขึ้นกระทันหัน ซึ่งเขาป่วยหนักมากจนถึงขั้นที่โจโฉเป็นห่วงต้องมาดูอาการด้วยตนเอง และในปีค.ศ.201 กุยแกก็จบชีวิตลงในวัย 38 ปี (บางฉบับบันทึกว่าปีค.ศ.200)
โจโฉจัดงานศพให้อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติของเขา และได้ร่ำไห้ต่อหน้าศพกุยแกพร้อมกับรำพันต่อคนอื่นว่า

ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ ล้วนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า มีเพียงฟ่งเซี่ยวเท่านั้นที่อายุน้อยกว่าคนอื่น ข้าจึงนึกเสมอว่าเมื่อพวกเราได้ทำการใหญ่สำเร็จและต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ข้าก็จะนอนตายตาหลับ เพราะสามารถฝากฝังภาระต่างๆและครอบครัวให้ฟงเซี่ยวดูแล แต่นี่กลับเป็นว่าเราต้องมาจัดพิธีศพให้แก่เขาในวัยอันไม่สมควรเลย นี่หรือชีวิต
จากนั้นโจโฉก็กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ปูนยศแก่กุยแกเป็น จิงเหา” (เจ้าพระยาภักดี) และเพิ่มศักดินาให้แก่ทายาทและครอบครัวของกุยแกอีกมากมาย

ย้อนกลับไปก่อนที่เขาจะตายนั้น ในขณะที่กำลังป่วยหนัก เขาได้ฝากผลงานสำคัญไว้อีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือแผนสุดท้ายในการพิชิตตระกูลอ้วนให้หมดสิ้นลง โดยกุยแกได้เขียนเป็นสารลับมอบให้แก่โจโฉก่อนที่ตัวเองจะตายไป
ตอนที่เขากำลังนอนป่วยอยู่ที่บ้านนั้นได้ใช้ให้คนเขียนสารลับฉบับหนึ่งขึ้นแล้วส่งให้โจโฉซึ่งกำลังติดพันศึกอยู่ สารนั้นมีใจความว่า

การที่อ้วนซง อ้วนฮี หนีไปอาศัยใบบุญของกองซุนคังกษัตริย์เหลียวตงนั้น ขอท่านอย่าได้ยกกองทัพไปให้เหนื่อยยาก เพราะถ้ายกทัพไปกองซุนคังกับอ้วนซง อ้วนฮี จะต้องร่วมมือกันต่อต้านท่านแน่นอน
แต่หากท่านไม่ยกไปกงซุนคังก็จะคิดว่าการเป็นศัตรูกับท่านนั้นไม่คุ้มและจะส่งหัวของอ้วนซงและอ้วนฮีมาให้ท่านเอง

โจโฉทำตามแผนการของกุยแกนี้โดยไม่ยกทัพตามไป ทั้งที่บรรดาที่ปรึกษาคนอื่นต่างไม่เห็นด้วย และจากนั้นไม่นาน กองซุนคังก็ส่งศีรษะของทั้ง 2 มาให้จริงๆ สมดังที่กุยแกได้ทำนายไว้

จากผลงานเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ากุยแกเป็นสุดยอดแห่งการวิเคราะห์ลักษณะของศัตรูและสามารถคาดการเรื่องต่างๆได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำราวกับมีตาทิพย์ และเป็นกลยุทธ์ในแนวทางที่เขาถนัดเป็นพิเศษ แม้ว่าหากเทียบกับเหล่ากุนซือของโจโฉด้วยกันแล้ว ทักษะในด้านการเมืองและการบริหารของเขาจะไม่เด่นชัดเท่า ซุนฮก ซุนฮิว หรือเทียหยก ผลงานด้านบริหารเองก็ไม่ค่อยจะเป็นรูปธรรมนัก แต่สำหรับกลยุทธ์จิตวิทยา และแผนพิศดารในการหาทางพิชิตศัตรู นับว่ากุยแกเหนือล้ำในด้านนี้มากกว่ากุนซือคนอื่นๆของโจโฉ และแผนที่ถูกนำเสนอรวมถึงการวิเคราะห์บุคคลนี้ก็เป็นที่บันทึกไว้ทั้งในนิยายสามก๊กและประวัติศาสตร์

ในบรรดาที่ปรึกษาของโจโฉทั้ง กุยแกนับว่ามีอายุน้อยที่สุด แต่เขากลับได้รับการยกย่องจากเหล่าที่ปรึกษาด้วยกันรวมถึงในหมู่แม่ทัพว่าเป็นยอดกุนซือ ด้านนิสัยส่วนตัวนั้นกล่าวกันว่ากุยแกเป็นพวกที่ชอบวิพากษ์สังคม เขามักชอบพูดเสียดสีและกล่าววาจาต่อผู้อื่นตามที่ใจคิดอย่างตรงๆ แต่ในยามที่เสนอความคิดเห็นนั้นต่อโจโฉ เขาไม่เคยที่จะหักหน้าผู้อื่น และแม้ว่าเขาจะมีฝีปากดุจมีด แต่กริยาการวางตัวกลับแตกต่าง เขาค่อนข้างจะมีความเป็นสุภาพชน และยังไม่ชอบที่จะวางมาดข่มคนอื่น ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาตายลง จึงมีคนที่เศร้าสลดให้กับเขาเป็นอันมาก

น่าเสียดายที่เขาตายลงไปก่อน ไม่ทันได้ประลองสติปัญญากับขงเบ้งซึ่งประวัติศาสตร์ได้ยกย่องให้เป็นผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดในยุคนั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วกุนซือที่ถูกกล่าวขานว่าฉลาดที่สุดในยุคสามก๊กอาจจะไม่ใช่ขงเบ้งก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น