วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติ เตียวก๊ก ปรมาจารย์แห่งผ้าเหลือง

ประวัติ เตียวก๊ก ปรมาจารย์แห่งผ้าเหลือง
คนจีนมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมานับตั้งแต่ก่อเกิดราชวงศ์ฉินของจิ๋นซีฮ่องเต้จนถึงสิ้นสุดยุคราชวงศ์ชิง

นั่นคือความเชื่อในเรื่องโองการสวรรค์
พวกเขามีความเชื่อว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือที่เรียกว่าโอรสสวรรค์นั้น เป็นผู้ที่รับโองการมาจากฟ้าให้มาทำหน้าที่ปกครองแผ่นดิน แต่หากว่าผู้เป็นฮ่องเต้ทำตัวไม่เหมาะสม ทำให้ชาวประชาเดือดร้อนล่ะก็ สวรรค์ก็จะเรียกโองการนั้นกลับ และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นที่มีความเหมาะสมกว่าได้ขึ้นมาครองแผ่นดินแทน ด้วยเหตุนี้ในยามที่ฮ่องเต้ไร้ความสามารถ ปวงประชาเดือดร้อน บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะปรากฏเหล่าผู้กล้าและยอดคนต่างลุกฮือขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยปวงประชาและที่สุดแล้วก็จะได้รับโองการสวรรค์เพื่อที่จะปกครองแผ่นดินต่อไป
ดังนั้นในยุคสงครามนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้นใด ต่อให้เป็นชาวนาที่ยากจน เขาก็มีสิทธิที่จะขึ้นมาครองแผ่นดินได้ หากมีความสามารถและโชคมากพอ
ด้วยความคิดนี้เองที่เมื่อเกิดความเดือดร้อนขึ้นในแผ่นดินเมื่อใด ชนชั้นล่างของประเทศอย่างพวกชาวนาจึงพร้อมใจกันลุกฮือขึ้นเพื่อล้มล้างราชบัลลังก์ ซึ่งเรียกกันว่ากบฏชาวนา
กบฏชาวนาเกิดขึ้นมาครั้งแรกในปลายยุคราชวงศ์ฉิน แต่ในครั้งนั้นพวกเขาถูกราชสำนักกวาดล้างจนพินาศไปหมด แต่เจตนารมณ์ของพวกเขานั้นได้รับการสืบทอดต่อและเมื่อเกิดกบฏชาวนาขึ้นอีกครั้งที่นำโดยหลิวปัง ในที่สุดก็ล้มล้างราชวงศ์ฉินลง และหลิวปังก็ได้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้นและเป็นชาวนาคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถก้าวขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้สำเร็จ
จนมาถึงปลายยุคราชวงศ์ฮั่น แผ่นดินเกิดลุกเป็นไฟอีกครั้งหนึ่งเพราะความเหลวแหลกในการปกครองของรราชสำนัก ซึ่งส่งผลให้เกิดกบฏชาวนาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ถือเป็นกบฏชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "โจรโพกผ้าเหลือง"
และผู้ที่เป็นผู้นำของโจรกลุ่มนี้ก็คือชายผู้หนึ่งที่ว่ากันว่ามีอำนาจวิเศษสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ นั่นคือ "เตียวก๊ก"
เพราะการนำของเตียวก๊ก โจรโพกผ้าเหลืองจึงได้มีกองกำลังนับแสนคนทั่วประเทศ และพวกเขาก็ได้ก่อการจนเกือบที่จะล้มราชวงศ์ได้สำเร็จอยู่แล้ว
แต่เพราะในกลียุคย่อมเกิดบุรุษผู้กล้า และในยุคนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาหลายคนซะด้วย ไม่ว่าจะเป็น เล่าปี่ โจโฉ ซุนเกี๋ยน และก็เป็นพวกเขาเหล่านี้เองที่ร่วมกันกำจัดพวกโจรผ้าเหลืองจนพินาศไป
โจรผ้าเหลืองและเตียวก๊กนั้นถูกตราหน้าในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกลุ่มโจรที่ชั่วช้า เพราะพวกเขาเอาแต่ปล้นสะดมชาวบ้าน ฉุดคร่าหญิงสาวและสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
ทั้งที่เดิมทีแล้วอุดมการณ์ของเตียวก๊กไม่ใช่เช่นนั้นเลย แล้วทำไมบทสุดท้ายของโจรผ้าเหลืองถึงได้เป็นเช่นนั้น ตรงจุดนี้คงต้องมาลองไล่ย้อนดูถึงประวัติของเตียวก๊ก ศาสดาแห่งผ้าเหลือง หรือลัทธิไท่ผิงกัน
ประวัติโดยย่อ
ตามประวัติที่มีบันทึกไว้ในยุคสามก๊ก ระบุว่าเตียวก๊กเดิมทีเป็นชาวกิลกกุ๋น เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน และได้พบเห็นความยากลำบากของชาวบ้านและเหล่าชาวนาที่ยากจนตั้งแต่ยังเล็ก เขาจึงมีความใฝ่ฝันว่าสักวันจะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ได้
เมื่อเติบโตขึ้นจนเป็นหนุ่มเขาก็ได้ตั้งใจศึกษาหาความรู้ใส่ตัวด้วยเชื่อว่าความรู้ที่เขามีนี้จะสร้างให้เขาได้มีโอกาสเข้ารับราชการเพื่อรับใช้บ้านเมืองและช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังลำบากให้พ้นทุกข์
เขาได้เข้าสอบราชการด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม แต่สุดท้ายก็ต้องสอบตก ซึ่งว่ากันว่าไม่ใช่เพราะเขาด้อยความรู้ แต่เพราะขาดเส้นสายในราชสำนัก
เมื่อกลับมาบ้าน เขาก็ยังไม่ลดละพยายามศึกษาหาความรู้ต่อและตัดตัวเองจากโลกภายนอกเพื่อแสวงหาสัจธรรม
จนวันหนึ่งเตียวก๊กได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและได้พบกับผู้เฒ่าผู้หนึ่งมาปรากกฏยังเบื้องหน้าเขาพร้อมกับสายลม เตียวก๊กตกตะลึงและเชื่อว่าเขาเป็นผู้วิเศษ ซึ่งผู้เฒ่าผู้นั้นบอกว่าตัวเองชื่อน่ำฮัวเล่าเซียน และได้มอบคัมภีร์ให้เตียวก๊กสามเล่ม ชื่อว่าคัมภีร์"ไท้ผิง"
เซียนผู้เฒ่าบอกว่าหากเขาศึกษาวิชาในคัมภีร์เหล่านี้ได้จนแตกฉานแล้วล่ะก็ เขาก็จะสามารถเรียกลมเรียกฝนและสามารถทำนายเหตุการณ์ได้ ซึ่งเซียนผู้เฒ่านั้นหวังที่จะมอบคัมภีร์นี้ให้เตียวก๊กเพื่อให้เขาใช้วิชาความรู้ที่ได้มานั้นไปช่วยเหลือชาวประชาที่กำลังเดือดร้อน
แต่หากเตียวก๊กนำมันไปใช้ในทางที่ผิดและลุ่มหลงในอำนาจล่ะก็ สวรรค์ก็จะลงอาญาเขา เมื่อพูดจบแล้วเซียนผู้เฒ่าก็หายตัวไป
เตียวก๊กเชื่อตามที่บอกจึงศึกษาคัมภีร์ไท้ผิงทั้งสามเล่มจนแตกฉาน หลายปีต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถเรียกลมฝนได้
จนเมื่อเตียวก๊กลงมาจากเขาและได้พบเห็นผู้คนที่จ็บป่วยจึงได้ใช้สิ่งที่เรียนมาจากคัมภีร์ช่วยรักษาโรคให้พวกเขาด้วยการใช้น้ำมนต์และบทสวดซึ่งก็สามารถทำให้คนป่วยใกล้ตายเหล่านั้นหายป่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในนิยายสามก๊ก แต่ตามความเป็นจริงนั้นในคัมภีร์ไท้ผิงน่าจะบันทึกถึงวิธีการทำนาย พยากรณ์สภาพดินฟ้าอากาศและวิชาแพทย์มากกว่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไก็ตาม เตียวก๊กก็สามารถที่จะทำนายสภาพอากาศได้ล่วงหน้าแทบทุกครั้ง และยังสามารถรักษาโรคให้ผู้คนด้วยพลังลึกลับจนไม่นานนักเขาก็ได้กลายเป็นที่ศรัทธาและเคารพของชาวบ้านทั่วไป
มีหลายคนที่เลื่อมใสเขามากจนขอมาเป็นสาวกด้วย ในจำนวนนั้นมีอยู่ 2 คนที่เลื่อมใสเขามากและทั้งคู่ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์จึงได้เปลี่ยนนามสกุลมาเป็นเตียวตามเขาและได้สาบานเป็นพี่น้องด้วยนั่นคือ เตียวโป้และเตียวเหลียง ซึ่งก็มีคนทั่วไปที่เข้าลัทธิเปลี่ยนมาใช้แซ่นี้ตามไปด้วยนับหมื่นนับแสน
แซ่เตียวหรือแซ่จางนั้นในปัจจุบันเป็นแซ่ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก เหตุเพราะเรื่องในครั้งนั้นนั่นเอง
เกี่ยวกับแซ่หรือสกุลของคนจีนนี้ ได้มีการสำรวจมาเหมือนกันว่าแซ่ใดที่มีคนใช้มากที่สุด และแซ่ที่มีคนใช้มากที่สุด 5 อันดับแรกนั่นคือ
เตียว เล่า หลี่ จ้าว โจว
คนที่ใช้แซ่ทั้ง 5 นี้หลายคนต่างก็ล้วนเป็นคนดังในประวัติศาสตร์รวมถึงยุคปัจจุบัน และในอดีตคนของแซ่เหล่านี้ยกเว้นแซ่เตียวต่างก็เคยสามารถสถาปนาราชวงศ์ของตัวเองได้สำเร็จมาแล้ว
เล่า-ราชวงศ์ฮั่น โดยเล่าปังหรือหลิวปัง(ฮั่นโกโจ)และเป็นราชวงศ์แรกที่ได้ฮ่องเต้ที่มีพื้นเพเดิมมาจากชาวนาเป็นผู้ก่อตั้งและยังเป็นบรรพบุรุษของเล่าปี่อีกด้วย ซึ่งราชวงศ์นี้ถือเป็นราชวงศ์ที่วางรากฐานหลายๆอย่างไว้ซึ่งได้แทรกซึมเข้าไปในวัฒนธรรมประเพณีของชาวจีนอย่างมากจนชาวจีนในราชวงศ์หลังๆนั้นต่างนิยมเรียกตัวเองว่าชาวฮั่น
หลี่-ราชวงศ์ถัง โดยหลี่เอียน(ถังไท่จู่)แต่คนส่วนใหญ่นั้นรู้จักราชวงศ์นี้ก็เพราะฮ่องเต้องค์ต่อมาซึ่งรวมประเทศได้สำเร็จนั่นคือหลี่ซื่อหมิน(ถังไท่จง)ซึ่งภายหลังนักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับให้เป็นฮ่องเต้มหาราชที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ 4000 ปีของจีน สาเหตุมีมากมายแต่ที่สำคัญที่สุดก็คือท่านนั้นเป็นฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ที่ยินยอมให้ขุนนางสามารถวิจารณ์การกระทำของตัวท่านได้แถมบางครั้งยังวิจารณ์รุนแรงเกินไปอีกด้วย แต่ตัวท่านก็สามารถที่จะอดกลั้นยอมรับฟังและนำไปปรับปรุงโดยไม่เอาผิดกับคนผู้นั้น
จ้าว-ราชวงศ์ซ่ง โดยจ้าวควงยิ่นหรือเตียวคังเอี๋ยน(ซ่งไท่จู่)ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีคนดังที่รักชาติอย่างเปาบุ้นจิ้น ขุนศึกตระกูลหยาง แม่ทัพงักฮุย 108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซานเกิดขึ้นมา เพราะเป็นราชวงศ์ที่ถูกต่างชาติอย่างมองโกล ต้าเหลียง ซีเซี่ย เข้ารุกรานมากที่สุด
โจว-ราชวงศ์โจว โดยจีชาง(โจวอุ๋นหวัง)แต่รวมประเทศได้สำเร็จจริงๆจากโอรสของท่านนั่นคือจีพา(โจวอู่หวัง)และเป็นราชวงศ์ที่มีอายุยืนที่สุดของจีนนั่นคือ 800 ปี แม้ว่าช่วง 300-400 ปีหลังเหล่าฮ่องเต้ของราชวงศ์นี้จะสูญเสียอำนาจไปมากก็ตาม ซึ่งรากฐานที่ราชวงศ์นี้ได้สร้างไว้ยังคงส่งผลมายังราชวงศ์ในยุคหลังอีกนับไม่ถ้วน
กลับมาที่เรื่องของเตียวก๊กอีกครั้ง ภายหลังเมื่อมีสาวกมากๆเข้าจนมีจำนวนนับหมื่นนับแสนคน ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพวกชาวบ้านและชาวนาที่อดอยาก แต่ในจำนวนนั้นก็มีไม่น้อยที่เป็นเหล่านักดาบและยอดฝีมือที่เลื่อมใสด้วย
เตียวก๊กจึงได้ตั้งชื่อกลุ่มลัทธิของตัวเองว่าลัทธิไท้ผิงโดยมีสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือทุกคนจะโพกผ้าสีเหลืองไว้ที่หัว
จากนั้นไม่นานได้เกิดข่าวลือขึ้นอย่างหนึ่งไปทั่วแผ่นดินว่า
"ฟากฟ้าตายแล้ว"
อันหมายถึงจะเกิดการเปลี่ยนราชวงศ์
เตียวก๊กจึงได้อ้างโองการสวรรค์ว่าจะมีฮ่องเต้องค์ใหม่เกิดขึ้นมาปกครองแผ่นดินแทนฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน(พระเจ้าเลนเต้) ด้วยเหตุนี้เองเตียวก๊กจึงได้ปลุกระดมสาวกนับแสนคนให้ลุกขึ้นมาจับอาวุธเพื่อสร้างแผ่นดินใหม่ที่เขาอ้างว่าจะเป็นแผ่นดินแห่งความสันติ
เตียวก๊กตั้งตนเป็นแม่ทัพเจ้าสวรรค์ เตียวโป้เป็นแม่ทัพเจ้าธรณี เตียวเหลียงเป็นแม่ทัพเจ้ามนุษย์ บัญชาการสาวกและทหารผ้าเหลืองนับแสนคน ซึ่งนี่คือที่มาของกองกำลังโพกผ้าเหลือง อันเป็นกองกำลังที่สามารถระดมผู้คนได้หลายแสน โดยมิต้องอาศัยทุนรอนใดๆ
การลุกฮือครั้งแรกนั้นความจริงแล้วถูกกำหนดในวันที่ 5 เดือน 3 ปี ค.ศ.184
จุดเริ่มคือยอดฝีมือของกองกำลังผ้าเหลืองที่ชื่อม้าอ้วนยี่ ได้นำนักรบจำนวนหนึ่งลอบเข้าเมืองหลวงเพื่อเตรียมการเข้ายึดวังหลวง แต่พลาดจึงได้ถูกจับประหารจนหมด
เมื่อราชสำนักรู้ตัว เตียวก๊กจึงได้เลื่อนกำหนดการลุกฮือมาเป็นวันที่ 2 เดือน 2
เป้าหมายสำคัญในการลุกฮือครั้งนี้คือล้มล้างราชวงศ์ฮั่น และก่อตั้งราชวงศ์เหลืองขึ้น และในที่สุดการก่อจลาจลของกองกำลังชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จึงได้เริ่มขึ้น
กองกำลังผ้าเหลืองนั้นได้ขยายอิทธิพลแผ่ไปถึง 8 มณฑลจาก 14 มณฑลในประเทศจีน ซึ่งแต่ละเขตนั้นจะมีหัวหน้าที่เป็นยอดฝีมือเป็นผู้คุมกองกำลังที่เรียกว่าหัวหน้าฟาง และทั้ง 8 มณฑลต่างก็ได้ทำการสังหารผู้ว่าของแต่ละที่ และยึดทรัพย์สมบัติมาเป็นของตนเองโดยบางส่วนนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ยากลำบาก ทำให้เหล่าชาวบ้านที่ถูกดขี่มานานต่างก็พร้อมใจกันเข้าร่วมด้วย
แรกที่เริ่มก่อการนั้นกองกำลังนี้ได้รับความสนับสนุนจากเหล่าชาวบ้านที่ยากจนที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างมาก แต่เนื่องจากนี่เป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าชาวบ้านที่ยากจนและหิวโหย อีกทั้งยังมีจำนวนนับแสน ดังนั้นจึงไม่มีระเบียบแบบแผนเท่าที่ควร พวกเขาจึงทำการปล้นสดมภ์และทำลายบ้านเรือนไปทั่ว จนกลายเป็นที่เกลียดชังและหวาดกลัวของเหล่าชาวบ้าน
กองกำลังผ้าเหลืองจึงได้กลายเป็นกองโจรโพกผ้าเหลืองไป
การลุกฮือขึ้นมาของโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ถือเป็นชนวนแรกสุดที่จะทำให้แผ่นดินเกิดความวุ่นวายต่อไปในภายหลังอีกหลายสิบปี และเป็นจุดกำเนิดของเหล่ายอดบุรุษที่จะมาแย่งชิงอำนาจกันในภายหลังอีกด้วย
ราชสำนักทราบข่าวโจรผ้าเหลืองออกอาละวาดก็ไม่รอช้า ส่งกำลังออกปราบปรามทันที แต่โจรผ้าเหลืองนั้นมีจำนวนมหาศาลมาก ทหารของราชสำนักต้องประสบกับความพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงมีการเรียกระดมเหล่าแม่ทัพนายกองทั่วประเทศเป็นการใหญ่ ให้มายุติความวุ่นวายในครั้งนี้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการประกาศรับสมัครทหารอาสาไปทั่วแผ่นดินอีกด้วย
ชื่อของโจโฉ เล่าปี่ และซุนเกี๋ยนจึงเริ่มจากจุดนี้เอง
โจโฉในตอนนั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารม้าเร็วด้วยวัยเพียง 29 ปี ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยเหลือแม่ทัพใหญ่ฮองฮูสงเพื่อปราบปรามโจรผ้าเหลือง และในการรบครั้งหลังสุดที่ค่ายเสบียงใหญ่ของโจรผ้าเหลืองที่คุนหยางก็สามารถทำลายค่ายสำคัญของโจรผ้าเหลืองได้
เล่าปี่ผู้นำทหารอาสาแห่งอิวจิ๋วในวัย 23 ปี นำกองทหารอาสา 500 คน และในภายหลังได้เดินทางไปช่วยเหลือแม่ทัพจูฮี ในท้ายสุดได้ทำการรบกับโจรผ้าเหลืองที่เขาฮั่วน่ำและสามารถเอาชัยชนะได้เช่นกัน
ซุนเกี๋ยนวัย 29 ปี ผู้ช่วยของแม่ทัพจูฮีได้นำทหารของตนรบชนะโจรผ้าเหลืองหลายครั้งและท้ายสุดได้ถล่มโจรผ้าเหลืองที่ลำหยงจนราบคาบ
ท้ายที่สุดหลังจากรบแพ้หลายครั้งติดต่อกัน เตียวก๊กที่อยู่ที่กิลกกุ๋นก็ป่วยหนักและได้จบชีวิตลงในเดือน 8 ซึ่งการตายในครั้งนี้ส่งผลให้โจรโพกผ้าเหลืองเสียขวัญกำลังใจไปมากและในที่สุดการลุกฮือขึ้นของกองกำลังชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็สิ้นสุดลง
สำหรับเตียวเหลียงและเตียวโป้นั้นถูกฆ่าตายลงในเดือน 10 และ 11 ติดต่อกัน
เมื่อแกนนำสำคัญทั้ง 3 ตายลง เตียวหลิงซึ่งไม่ได้เป็นญาติอะไรกับสามพี่น้องได้เป็นแกนนำโจรผ้าเหลืองต่อสู้ต่อไปซึ่งเหล่าประชาชนที่ร่วมกับโจรผ้าเหลืองในครั้งนี้ต่างก็เปลี่ยนแซ่เป็นเตียวกันหมดจนมีจำนวนนับแสนคน ซึ่งนี่เองที่ภายหลังคนแซ่นี้จึงมีมากที่สุดในโลก
ความฝันในการก่อตั้งราชวงศ์เหลืองของเตียวก๊กต้องถึงคราวอวสานลง
แต่การลุกฮือในครั้งนี้ของเขานั้นได้สงผลกระทบที่ทำให้บ้านเมืองต้องพบกับความวุ่นวายไปถึง 1 ทศวรรษ ในภายหลัง
ประวัติศาสตร์นั้นตาหน้าโจรผ้าเหลืองว่าเป็นกลุ่มโจรที่ชั่วช้า ทั้งนี้เพราะเตียวก๊กนั้นได้หลงลืมในอุดมการณ์ดั้งเดิมที่จะช่วยเหลือชาวประชาไป
หากว่าเขาไม่ใช้ความรุนแรงแต่เลือกที่จะต่อสู้ด้วยพลังศรัทธาเพียงอย่างเดียวไปเรื่อยๆล่ะก็ ชื่อของเขาคงจะถูกจดจำจากคนรุ่นหลังในฐานะผู้ประเสริฐเป็นแน่
สุดท้ายเตียวก๊กก็ต้องตายอย่างอนาถ ซึ่งนี่อาจเป็นการลงโทษจากสวรรค์อย่างที่น่ำฮั่วเล่าเซียนเคยเตือนเขาเอาไว้ในครั้งโน้น
แต่จะยังไงก็แล้วแต่ ในปัจจุบันนี้แซ่เตียวของเขาก็ได้กลายเป็นแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดโลก ซึ่งที่มาของเรื่องนี้ก็คือความทะเยอทะยานของเตียวก๊กนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น