วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก กาเซี่ยง เหวินเหอ

ประวัติสามก๊ก กาเซี่ยง เหวินเหอ

ในสามก๊กมีผู้ที่ถูกเรียกว่ากุนซือหรือเสนาธิการทหาร ซึ่งเป็นผู้ที่คอยวางแผนการศึกให้แก่กองทัพอยู่มากมายหลายคน บางคนโด่งดังมีชื่อเสียงสะท้านฟ้า แต่บางคนมีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสได้สร้างชื่อ ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีกุนซืออยู่ผู้หนึ่งที่มีความโดดเด่นและสีสันที่แปลกประหลาดกว่าผู้อื่น กุนซือผู้นี้แทบจะเป็นผู้เดียวในยุคสามก๊ก ที่แผนการซึ่งออกมาจากหัวสมองของเขานั้นไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นกุนซือ นักวางแผนเพียงคนเดียวในสามก๊กที่ย้ายเจ้านายมากที่สุด แต่ทุกครั้งที่เขาย้ายไปไม่ว่าจะไปอยู่กับใคร จะเป็นเจ้านายที่เก่งหรือไร้ความสามารถแค่ไหน เขากลับสามารถที่จะแสดงความสามารถในการวางแผนได้อย่างโดดเด่น และสร้างวีรกรรมครั้งยิ่งใหญ่ได้ทุกๆครั้ง แต่ลักษณะการเปลี่ยนเจ้านายหลายครั้งโดยเหมือนกับจะไร้ความภักดีเช่นนี้ ทำให้เขาเปรียบเสมือนแกะดำในเหล่ากุนซือทั้งแผ่นดิน เหล่ากุนซือในแผ่นดินนั้นต่างก็ล้วนเป็นผู้ที่ศึกษาในศาสตร์ความรู้และหลัปรัชญาโบราณ ซึ่งหลักพื้นฐานนั้นเน้นถึงความประพฤติ ความซื่อตรงและความภักดีเป็นที่ตั้ง แต่กาเซี่ยงผู้นี้ทำในสิ่งตรงข้าม แม้แต่การรับใช้คนที่เลวทรามและโหดที่สุดของแผ่นดินเขาก็ทำมาแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเสนาธิการมือหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก ที่อาจจะพูดได้ว่าเป็นนักวางกลยุทธ์ในการศึกที่เก่งที่สุดก็ว่าได้



ประวัติโดยย่อ

กาเซี่ยง อ่านอีกแบบว่าเจียสี่ ชื่อรองคือเหวินเหอ เกิดปีค.ศ 147 ประวัติในวัยหนุ่มเล่าว่าเคยรับราชการที่จังหวัดหวู่เวย แต่ภายหลังเบื่อหน่ายจึงลาออกมาอยู่บ้านเดิม

เล่ากันว่าในวัยหนุ่มเขาเกิดมีความคิดอยากออกท่องเที่ยวแสวงหาความรู้และประสบการณ์ที่แปลกประหลาด จึงออกเดินทางไปยังแดนตะวันตก เลยข้ามเขตแดนของจีนเข้าไปในเขตของเผ่าฮวน พร้อมกับสหายจำนวนหนึ่ง

แต่ระหว่างทางเขาและพรรคพวกถูกพวกฮวนปล้นชิงทรัพย์ พรรคพวกของเขาต่างถูกสังหารหมด เหลือเพียงเขาที่รอดมาได้ เพราะเขาพอพูดภาษาฮวนได้บ้าง โดยเขาอ้างว่าตนเป็นลูกหลานของต้วนกงแม่ทัพผู้เคยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเกรงกลัวของเผ่าฮวนในอดีต เขาจึงบอกว่าหากปล่อยเขาไป สักวันจะต้องได้ประโยชน์ พวกฮวนจึงยอมปล่อยเขารอดกลับมา

จากนั้นกาเซี่ยงก็ได้ใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม โดยวนเวียนอยู่แถบดินแดนตอนเหนือและตะวันตก ทำให้ศาสตร์ความรู้ในเรื่องต่างๆของเขาค่อนข้างจะแปลกและแตกต่างจากเหล่ากุนซือร่วมสมัยที่ร่ำเรียนในลัทธิขงจื๊อ เม่งจื๊อและวิชาความรู้จากภาคกลางเป็นหลัก

เมื่อแผ่นดินเกิดความปั่นป่วนขึ้น ตั๋งโต๊ะถูกลิโป้สังหาร พวกของลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียวลูกน้องคนสนิทของตั๋ะโต๊ะจึงได้คิดจะหาทางแก้แค้นลิโป้ ตอนนั้นเองที่กาเซี่ยงก็ได้เข้าไปทำงานให้กับพวกลิฉุยและกุยกี

กาเซี่ยงได้เสนอแนะแผนการที่จะตีเอาเมืองเตียงฮันคืนมาจากพวกลิโป้และอ้องอุ้น จึงได้คิดแผนการเกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไส โดยส่งทหารไปเจรจากับชาวเมืองว่าบัดนี้อ้องอุ้นได้เป็นใหญ่ในเมืองหลวง คิดจะยกทหารมาตีเมืองเซียงไส เหล่าชาวเมืองได้ยินเช่นนั้นก็กลัวตาย จึงชวนกันมาเข้าพวกของลิฉุย กุยกี รวมกำลังพลได้ประมาณแสนห้า จากนั้นจึงแบ่งทหารออกเป็นสี่กองใหญ่ ให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารไปคนละกอง ระหว่างทางพบกับนิวฮู ลูกเขยของตั๋งโต๊ะที่ยกทัพห้าพันคนไปแก้แค้น ทัพทั้งหมดจึงรวมตัวกัน มีนิวฮูเป็นทัพหน้าบุกตีเตียงฮัน ซึ่งการรวมกำลังพลได้ถึงแสนกว่าคนภายในระยะเวลาอันสั้นนี้มาจากแผนการของกาเซี่ยงโดยแท้

ลิโป้ใช้ให้ลิซกนำทัพออกไปรบกับนิวฮู ฝ่ายนิวฮูไม่อาจต้านทานได้จึงถอยทัพ ลิซกกระหยิ่มใจจึงตั้งค่ายทัพไว้ โดยที่ไม่ได้ตรวจตราเข้มงวด กาเซี่ยงจึงเสนอแนะให้นิวฮูส่งกองทัพลอบเข้าโจมตีโดยเร็ว นิวฮูทำตามและก็ประสบผล กองทัพของลิซกแตกพ่ายย่อยยับ ต้องถอยกลับเมืองและลิซกก็ถูกลิโป้สั่งประหารชีวิต

จากนั้นลิโป้ก็ยกทัพออกรบกับนิวฮูแทน นิวฮูต้านไม่อยู่จึงถอนหนี และจากนั้นก็ถูกเอาซกยีซึ่งเป็นทหารของตนลอบฆ่าแล้วเอาหัวมาให้ลิโป้ แต่ลิโป้เห็นว่าเอาซกยีเป็นคนเนรคุณจึงสั่งประหาร จากนั้นก็ยกทัพออกไปตีพวกลิฉุยจนแตกพ่ายจนพวกลิฉุยต้องถอยร่นกลับไปตั้งค่ายยังจุดที่ห่างไกลกว่าเดิม

ลิฉุย กุยกีปรึกษากันจึงไปขอคำชี้แนะจากกาเซี่ยง ซึ่งเขาก็เสนอแผนการ โดยให้ลิฉุยนำทัพออกล่อ ส่วนกุยกีให้คุมทหารไปสกัดทางซึ่งจะเข้าเมือง ให้เตียวเจ หวนเตียวคุมทหารแยกเข้ารบเมืองเตียงฮันสองด้าน

ลิโป้นั้นยกทัพเข้าตีตามแผนที่กาเซี่ยงคาดไว้ เมื่อลิฉุยถอยทัพจึงนำทัพไล่ตามมาถึงท้ายเขา ลิฉุยจึงนำทหารหนีขึ้นเนิน ฝ่ายลิโป้เมื่อนำทัพไล่ตาม ลิฉุยก็ให้ทหารระดมยิงธนูลงมา ฝ่ายลิโป้ไม่อาจต้านทานได้จึงให้ทหารถอยทัพลงมา

กุยกีเห็นดังนั้นจึงยกทหารเข้ากระหน่ำ พร้อมกับลิฉุยอีกทางหนึ่ง ลิโป้รบกับทั้งสองอยู่เป็นพัลวัน จะรบก็ลำบากจะถอยก็ยาก แล้วม้าเร็วจึงมารายงานว่าทางเมืองเตียงฮันถูกทหารของเตียวเจ และหวนเตียวล้อมเอาไว้ สถานการณ์ย่ำแย่ ลิโป้จึงตัดสินใจนำทหารบางส่วนตีฝ่าออกมาหมายจะกลับไปช่วยทางเตียงฮันโดยไม่สนใจทัพหลัง ทำให้เสียทหารไปมาก พวกทหารของลิโป้ต่างพากันกลัวตาย จึงหนีเข้าทัพพวกลิฉุยเป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามการชักใยของกาเซี่ยงทั้งสิ้น

ในเมืองเตียงฮัน ขุนนางสองคนคือลิบ้อง อ่องหองเป็นอดีตพรรคพวกของตั๋งโต๊ะเห็นการบหน้าเมืองเกิดการชุลมุนจึงพากันเปิดประตูเมืองให้ทหารของลิฉุยเข้ามาได้ ฝ่ายลิโป้นั้นจึงลุยฝ่าเข้ามาในเมืองฆ่าทหารไปมากมาย เมื่อพบอ้องอุ้นในวัง จึงว่าศึกนี้ใหญ่หลวงเกินกำลังแล้ว ขอท่านรีบขึ้นม้าหนีเอาตัวรอดเถิด

อ้องอุ้นบอกต่อลิโป้ว่า ที่สังหารตั๋งโต๊ะนั้นก็เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น แต่มันกลับกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่คิดจะหนีไปไหนอีก แล้วว่าให้ลิโป้หนีไปคนเดียว พร้อมทั้งนำคำไปแจ้งแก่เหล่าเจ้าเมืองที่เหลือให้ทราบเรื่อง ให้พวกเขายกทัพเข้ามาเมืองหลวงเพื่อกู้แผ่นดินคืน ลิโป้พยายามเกลี้ยกล่อมอ้องอุ้นอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ไม่ยอม ลิโป้จึงตัดสินใจนำทหารจำนวนหนึ่งตีฝ่าออกมา แล้วมุ่งหน้าไปหาอ้วนสุดที่เมืองลำหยง

ส่วนอ้องอุ้นนั้นถูกพวกลิฉุยสังหารทั้งครอบครัว แม้ฮ่องเต้จะขอชีวิตก็ไม่มีผล กาเซี่ยงเห็นการกระทำอันหยาบช้าของพวกลิฉุย คิดว่าหากรับใช้คนเช่นนี้ต่อไปคงไม่เป็นผลดี จึงคิดหาทางปลีกตัวออกมา แต่ยังไม่ทันจะทำ ก็มีข่าวว่าพวกม้าเท้ง หันซุยยกทัพมาหมายจะตีเอาเมืองเตียงฮัน ซึ่งตัวม้าเท้งนั้นแท้จริงได้รับหนังสือลับจากฮ่องเต้ให้ยกทัพเข้ามาปราบพวกลิฉุย

ม้าเท้งยกทัพมาหนึ่งแสนเตรียมเข้าประชิดเมืองเตียงฮัน กาเซี่ยงจึงเสนอแนะว่าฝ่ายม้าเท้งยกทัพมาระยะทางไกล หากทำการรบยืดเยื้อ เสบียงของฝ่ายนั้นจะหมดลงเอง ปล่อยให้ฝ่ายนั้นล้อมเมืองเอาไว้จนถึงเวลานั้น แล้วฝ่ายเราตั้งทหารคุมไว้บนเชิงเทียน เมื่อรอให้ฝ่ายนั้นเสบียงร่อยหรอ เราค่อยยกทัพออกไปตีตลบหลังเอาก็จะเอาชนะได้

แต่ลิบ้องและอ่องหองไม่เห็นด้วย และขอทหารหนึ่งหมื่นยกออกไปจะขอเอาหัวของม้าเท้งมา แต่กาเซี่ยงทัดทานไว้ ทั้งสองจึงว่าหากเอาหัวของม้าเท้งมาไม่ได้ก็จะขอเอาหัวของทั้งสองให้แทน แต่ถ้าได้หัวของม้าเท้งมาก็ขอเอาหัวของกาเซี่ยงด้วย

กาเซี่ยงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ เขารู้แล้วว่าตนเองเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของพรรคพวกลิฉุย แต่ก็ไม่คิดเช่นกันว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เขาจึงเสนอว่าจะทำอย่างไรก็ตามใจ แต่หากลิบ้อง อ่องหองจะยกทัพออกไปจริง ก็ขอให้เตียวเจและหวนเตียวนำทัพออกไปซุ่มอยู่ที่ซอกเขา เผื่อว่าทั้งสองเสียทีมาจะช่วยได้ แต่ลิฉุยไม่เห็นด้วยที่จะให้เตียวเจและหอมเตียวยกทัพออกไป กาเซี่ยงจึงได้แต่ทอดถอนใจที่แผนการของตนถูกปฏิเสธ

เป็นไปตามการคาดเดาของกาเซี่ยง ลิบ้องและหวมเตียวถูกทัพหน้าของม้าเท้ง ซึ่งก็คือนักรบหัวเสือ ม้าเฉียว ผู้เป็นบุตรคนรองของม้าเท้งสังหารลงอย่างง่ายดาย พวกลิฉุยจึงยอมทำตามแผนการแต่เดิมของกาเซี่ยง ด้วยการสร้างค่ายคู ประตูหอรบ และจัดทหารขึ้นเชิงเทียนอย่างแน่นหนา

สุดท้ายม้าเท้งก็เสบียงหมดจริงๆและต้องถอยทัพกลับ จากนั้นไม่นานกาเซี่ยงก็ตีจากพวกของลิฉุยออกไป ซึ่งพวกลิฉุยหลังจากนั้นก็แตกคอกันเอง ลิฉุยได้สังหารหวนเตียวลงในงานเลี้ยงโดยอ้างว่าเพราะคิดตีตัวออกห่าง ซึ่งในนิยายสามก๊กเล่าว่าเป็นแผนการของกาเซี่ยง แต่บางฉบับก็ว่าเขาจากไปก่อนหน้านั้น

แต่ที่แน่ชัดคือ ก่อนจะจากไปนั้นกาเซี่ยงได้ย้ำเตือนลิฉุยและกุยกีให้ดูแลเอาใจใส่ขุนนางและประชาชนให้ดี ซึ่งพวกลิฉุยเองก็ไม่ได้ทำอย่างที่กาเซี่ยงว่าเท่าใดนัก

เมื่อแยกมาแล้ว กาเซี่ยงก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ไปอยู่กับแม่ทัพต้วนวุยที่เมืองหัวหยาง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ผละจากมาแล้วไปอยู่กับเตียวสิ้ว ซึ่งเตียวสิ้วนี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลานของเตียวเจนั่นเอง ซึ่งขณะนั้นพวกลิฉุยได้ถูกโจโฉปราบปรามไปเรียบร้อยแล้ว

แต่เตียวสิ้วเป็นกองกำลังขนาดเล็กที่มีฐานที่มั่นแค่เมืองอ้วนเสีย เขาถามว่าเหตุใดจึงจากต้วนวุยแล้วมาอยู่กับเขา กาเซี่ยงจึงว่าต้วนวุยผู้นี้เห็นข้ามีชื่อเสียงจึงรับข้ามาอยู่หวังยกระดับและบารมีตนให้สูงขึ้น แต่ว่ายิ่งนานไปกลายเป็นว่าตัวข้าชักจะโดดเด่นบดบังเขา ถึงเขาอยากจะฆ่าข้า ก็กลัวผู้คนจะครหา ดังนั้นข้าจากเขามาแบบนี้แทนที่เขาจะเสียใจ ข้าว่าเขาคงจะดีใจและเป็นผลดีต่อทั้งข้าและเขามากกว่า อีกทั้งนายท่านเตียวสิ้วแม้จะดูภายนอกเป็นคนไม่เด็ดขาด แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง หากว่าเชื่อมั่นสิ่งใดแล้ว แม้จะลังเลไปบ้าง แต่สุดท้ายก็จะทำตามเช่นนั้น และท่านเตียวสิ้วกำลังต้องการที่ปรึกษาอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้ที่ปรึกษาเช่นข้าจึงเหมาะกับท่านเตียวสิ้วมากกว่า

ขณะนั้นโจโฉพลิกสถานการณ์ขึ้นมากุมอำนาจในภาคกลาง และเตรียมจะยกกองทัพนับแสนมาตีเอาเมืองอ้วนเสีย เตียวสิ้ววิตกมากจึงปรึกษากาเซี่ยง ซึ่งเขาก็เสนอแนะว่าสมควรจะอ่อนน้อมเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่แท้จริงแล้วนั่นคือแผนการที่ดัดหลังโจโฉในภายหลังอย่างเจ็บแสบ เรียกว่าเขาเป็นกุนซือเพียงคนเดียวในยุคนั้นเลยก็ได้ที่เล่นงานโจโฉได้ถึงขนาดนี้ ด้วยกำลังทหารและขุนพลที่ห่างกันราวฟ้าดิน เพราะเตียวสิ้วนั้นมีทหารในมือแค่ไม่กี่หมื่น ขุนพลก็ไม่ได้มีโดดเด่นสักคนเดียว แต่ในศึกอ้วนเสียที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ เป็นศึกที่โจโฉเฉียดกับความตายที่สุด ด้วยแผนการล้วนๆของกาเซี่ยงผู้นี้

เตียวสิ้วนั้นมีพี่สะใภ้ม่ายอยู่คนหนึ่งชื่อนางเจ๋าซือซึ่งความงามของนางนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว โจโฉเป็นเสือผู้หญิงตัวยง มีหรือจะยอมพลาด เมื่อเข้าเมืองอ้วนเสียได้แล้วก็เรียกให้นางเจ๋าซือมาหายังที่พัก ซึ่งเตียวสิ้วก็จัดให้แม้จะไม่ยินยอมเพราะที่จริงตัวเองก็หมายปองพี่สะใภ้เช่นกัน แต่กาเซี่ยงเสนอว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นพี่สะใภ้ ท่านไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว และบอกว่าตนมีวิธีการที่จะเอาชีวิตของโจโฉได้ ซึ่งเตียวสิ้วนั้นเชื่อถือและนับถือกาเซี่ยงดุจเทวดา จึงยอมทำตามแผนการ

การจะสังหารโจโฉนั้น ก่อนอื่นต้องฝ่าด่านสำคัญด่านหนึ่งนั้นคือเตียนอุย องครักษ์ผู้อยู่ข้างกายโจโฉตลอดเวลา เตียนอุยนั้นแม้ว่าโจโฉจะหลับนอนแล้วก็จะยืนเฝ้าอยู่หน้าที่พักโดยไม่หลับนอน และเตียนอุยยังมีพละกำลังมหาศาลขนาดฆ่าเสือตายมาแล้ว เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันทั่ว การจะสังหารเตียนอุยจำต้องหาคนที่มีวรยุทธ์เก่งกาจมาจัดการซึ่งทอดตาทั่วแผ่นดินแล้วมีไม่กี่คน

กาเซี่ยงได้ตัวมือสังหารผู้หนึ่งนามว่าเฮาเฉีย คนผู้นี้มีกำลังมหาศาลและเชี่ยวชาญการลอบสังหาร หากแต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเอาชนะเตียนอุยได้ไหม กาเซี่ยงจึงวางแผนด้วยการวางยาทหารของโจโฉรวมถึงเตียนอุยเอาไว้อีกชั้น

เมื่อโจโฉมัวแต่เสพสุขอยู่กับนางเจ๋าซือในห้องพัก กาเซี่ยงก็สั่งให้ทหารจำนวนหนึ่งเข้าปิดล้อมที่พักเอาไว้ จากนั้นเมื่อยาที่วางไว้ให้ทหารของโจโฉเริ่มออกอาการ เขาก็สั่งโจมตีแบบสายฟ้าโดยไม่ให้ทันตั้งตัวและวางเพลิงซ้ำ เตียนอุยซึ่งอยู่เฝ้าหน้าที่พักของโจโฉจึงเข้าไปแจ้งให้โจโฉหนี ส่วนตัวเองยืนเฝ้าตระหง่านขวางทางไม่ให้ทหารของเตียวสิ้วหลุดเข้าไปได้ แม้เฮาเฉียมือสังหารจะเข้ามาเล่นงานเขาก็เอาชนะได้ แต่สุดท้ายก็ถูกกาเซี่ยงสั่งให้ทหารระดมยิงธนูสังหารจนตัวตาย ส่วนโจโฉก็หนีรอดไปได้ แต่ก็สูญเสียบุตรชายโจงั่งและหลานชายโจอั๋นปินที่นำทัพมาช่วยตีฝ่าไป เรียกได้ว่ากาเซี่ยงสามารถสังหารองครักษ์ ลูกชาย หลานชาย และทหารที่ติดตามโจโฉมาเมืองอ้วนเสียจนไม่เหลือซาก ยังดีที่อิกิ๋มยกทัพหนุนมาช่วยไว้ โจโฉจึงรอดมาได้ การปราบโจโฉครั้งนี้ถือเป็นผลงานสะเทือนแผ่นดินของกาเซี่ยงทีเดียว

จากนั้นโจโฉที่หนีกลับไปก็ตั้งหลักรวบรวมกำลังพลใหม่ ต่อสู้จนเอาชนะศึกกับลิโป้และปราบอ้วนสุดจนราบจากนั้นยกทัพมาคิดบัญชีล้างแค้นกับเตียวสิ้ว

ขณะนั้นเตียวสิ้วได้ร่วมมือกับเล่าเปียวยกทัพไปตีเมืองเซียงหยง โจโฉจึงได้โอกาสขอพระเจ้าเหี้ยนเต้ยกทัพไปกำราบเตียวสิ้ว ซึ่งฝ่ายเตียวสิ้วเมื่อรู้ว่าโจโฉยกทัพมาก็สั่งให้เตียวเสียนเป็นทัพหน้าเข้ารบกับทัพหน้าของโจโฉคือเคาทู ซึ่งภายในสามเพลงเตียวเสียนก็ถูกแทงตกม้าตาย เตียวสิ้วหวาดกลัวว่าจะต้านทัพโจโฉไม่อยู่ จึงขุดคูรอบเมืองและตั้งเชิงเทียนขึ้นป้องกันอย่างแน่นหนา ฝ่ายโจโฉจึงสร้างหอคอยขึ้นล้อมรอบสี่ด้านของกำแพงเมือง โจโฉขึ้นดูที่บนหออยู่สามวันเห็นว่าการป้องกันทางทิศตะวันออกเบาบาง จึงสั่งให้ทหารขนเอามัดหญ้าไปทางทิศตะวันตกทำทีจะเข้าโจมตีทางด้านนี้ แต่แท้จริงแล้วจะเข้าทางตะวันออก

กาเซี่ยงอ่านแผนการของโจโฉออกจึงเสนอแนะต่อเตียวสิ้วว่าจะขอซ้อนกลของโจโฉเอง ด้วยการปลอมเอาชาวเมืองมาแต่งเป็นทหารขึ้นมาเฝ้าทางด้านตะวันตก แล้วเอาทหารไปดักซุ่มอยู่ทางตะวันออก

เมื่อทหารของโจโฉที่เฝ้าดูอยู่บนหอคอยสังเกตเห็นการป้องกันทางตะวันออกเบาบางลงและไปเพิ่มทางตะวันตกมากขึ้น ก็รีบแจ้งต่อโจโฉ เขาจึงสั่งทหารให้ทำการลอบเข้าโจมตีทันที โดยพากันว่ายน้ำฝ่าคูรอบเมือง และเข้าไปหมายจะทำลายประตู

แต่แล้วกาเซี่ยงก็สั่งจุดประทัดสัญญาณ แล้วทัพของเตียวสิ้วที่ดักซุ่มอยู่ก็ยกออกมาโจมตีอย่างหนักหน่วงจนทหารของโจโฉแตกพ่าย บรรดาทหารที่เฝ้ารักษาค่ายก็แตกพ่ายไปด้วย แล้วเตียวสิ้วก็ยกทัพกลับเข้าเมืองและยกย่องกาเซี่ยงว่าสามารถอ่านแผนการของโจโฉได้อย่างทะลุปรุโปร่งและสามารถซ้อนแผนได้ดุจเทวดา

ฝ่ายโจโฉสำรวจกองทัพตนพบว่าเสียทหารไปหลายหมื่นก็วิตกมาก กาเซี่ยงวิเคราะห์แล้วจึงเสนอต่อเตียวสิ้วว่าให้ส่งจดหมายไปให้เล่าเปียวให้ยกทัพเข้าสกัดตีทัพโจโฉในตอนนี้ก็จะสามารถปราบโจโฉลงได้ เตียวสิ้วก็ทำตาม

ฝ่ายเล่าเปียวนั้นถูกทางซุนเซ็กยกทัพเข้ามาหมายจะตีอยู่ปากอ่าวเมืองเกงจิ๋ว แต่เล่าเปียวปรึกษากับเก็งเหลียงแล้วคิดว่าการที่ซุนเซ็กยกทัพมาครั้งนี้เป็นเพราะการชักชวนของโจโฉ ซึ่งฝ่ายโจโฉตอนนี้ได้เสียทีแก่เตียวสิ้ว หากเอาชนะโจโฉได้ ซุนเซ็กก็ต้องยกทัพกลับไปเอง เล่าเปียวเห็นด้วยจึงสั่งให้หองจอตรึงทัพของซุนเซ็กไว้ ส่วนตัวเองยกทัพไปหมายจะตีโจโฉที่เมืองอันจงก๋วน

โจโฉทราบสถานการณ์จากซุนฮกที่ส่งจดหมายมาเตือนว่าเตียวสิ้วขอให้เล่าเปียวยกทัพตีกระหนาบ หากต้องรับศึกสองด้านจะแพ้ได้ โจโฉจึงส่งจดหมายกลับไปว่าไม่ต้องห่วง แล้วเขาก็ซ้อนแผนด้วยการแยกทหารเป็นสองกอง กลุ่มหนึ่งให้ไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในป่า ขุดดินหลบบ้าง ซุ่มอยู่ในพุ่มไม้บ้าง แล้วทำการตั้งค่ายพักอยู่ที่ริมเขาโดยตั้งทหารรักษาอยู่ไม่มากนัก

เมื่อทัพของเตียวสิ้วยกทัพมาไม่เจอกับทัพของโจโฉแต่มาเจอทัพหนุนของเล่าเปียวก็พากันถามว่าหาทัพของโจโฉ จนรุ่งเช้าจึงมีทหารเข้ามาแจ้งว่าพบทัพของโจโฉที่เนินเขา ตั้งค่ายรักษาเบาบางมา ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจและรีบยกทัพเข้าโจมตี และก็เข้าตามแผนของโจโฉด้วยการถูกทหารของโจโฉที่ดักซุ่มไว้เข้าโจมตีกระหนาบจนแพ้ไป

เตียวสิ้วกลับมาตั้งหลักเพื่อหาโอกาสรบอีกครั้ง ส่วนเล่าเปียวถอนทัพมาตั้งค่ายหยุดพักไว้ เผอิญตอนนั้นมีข่าวแจ้งว่าอ้วนเสี้ยวเตรียมยกทัพมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงถอนทัพกลับ เตียวสิ้วเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงปรึกษากับเล่าเปียวและกาเซี่ยงว่าสมควรจะใช้โอกาสนี้ยกทัพเข้าตีตลบหลังทัพของโจโฉที่กำลังถอนทัพไป น่าจะเอาชนะได้แน่

กาเซี่ยงไม่เห็นด้วย แต่เล่าเปียวคิดว่าสมควรยกทัพไป ในที่สุดเตียวสิ้วทำตามเล่าเปียวยกทัพไปตีทัพหลังของโจโฉที่เดินทัพอย่างไม่รีบร้อน แต่นั่นคือกลลวงที่ล่อให้เตียวสิ้วยกทัพเข้ามา และในที่สุดก็ถูกทัพของโจโฉตีพ่ายกลับไป

เตียวสิ้วกลับมาก็เสียใจที่ไม่ทำตามกาเซี่ยง แต่แล้วกาเซี่ยงกลับบอกต่เตียวสิ้วว่าให้รีบยกทัพไปตีอีกครั้ง เตียวสิ้วว่าเพิ่งจะรบแพ้มาแล้วทำไมต้องยกไปอีก กาเซี่ยงก็ว่าให้ทำตามเถอะ เตียวสิ้วตัดสินใจทำตามในครั้งนี้ และผลก็กลายเป็นว่าทัพของเตียวสิ้วสามารถตีทัพหลังของโจโฉให้แตกพ่ายไป จนทหารของโจโฉหนีขึ้นเนินแห่งหนึ่งแล้วตั้งหลักส่งเสียงโห่ร้องกัน เตียวสิ้วกลัวว่าจะเป็นกลลวงจึงถอยทัพกลับมา

เตียวสิ้วรีบถามกาเซี่ยงว่าครั้งแรกกาเซี่ยงไม่ยอมให้ยกทัพตาม แต่ทำไมกลับให้ตามไปในครั้งที่สองและยังรบชนะได้ด้วย กาเซี่ยงอธิบายว่าตอนที่ถอนทัพครั้งแรกนั้นโจโฉย่อมระวังตัวว่าจะถูกโจมตี จึงถอนตัวเองมาบัญชาการที่ทัพหลังด้วยตัวเอง การที่ทัพหลังของโจโฉเดินทัพช้านั้นก็เพื่อล่อให้ศัตรูบุกโจมตี เมื่อเอาชนะท่านได้แล้วเขาย่อมกลับไปยังทัพหน้าเพราะมีข่าวลือมาว่าเกิดเหตุที่เมืองฮูโต๋ ด้วยเหตุนี้การป้องกันของทัพหลังย่อมหละหลวม และที่สำคัญเขาคงไม่คิดว่าจะมีใครหน้าไหนที่ยกทัพมารบเป็นหนที่สองทั้งๆที่เพิ่งแพ้ไปหรอก แต่นั่นเองคือโอกาสที่จะทำให้เราตีทัพของเขาไปได้ ซึ่งการที่เตียวสิ้วไม่ยกทัพตามต่อไปเมื่อทัพของโจโฉหนีขึ้นเนินนั้นนับว่าทำถูกแล้ว เพราะแสดงว่ามีแม่ทัพอื่นเข้ามาสมทบและสั่งการอยู่ที่ทัพหลังนั้น

ซึ่งเป็นตามที่กาเซี่ยงคาด เพราะโจโฉเองก็ไม่ได้สั่งการในเรื่องนี้ แต่เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของแม่ทัพที่มีนามว่าลีถอง เป็นผู้รักษาเมืองยีหลำ ซึ่งได้นำทัพเข้ามาสมทบหมายจะช่วยโจโฉรบกับเตียวสิ้ว แต่เห็นทัพโจโฉถอยทัพพอดี และเห็นว่าเตียวสิ้วนำทัพตีไล่ตามมา จึงรีบเข้ามาแก้ไขด้วยการใช้แผนลวงทัพของเตียวสิ้วให้ถอยไป เมื่อโจโฉทราบเรื่องก็ชื่นชมลีถองมากและตั้งให้เป็นผู้ควบคุมรักษาหัวเมืองตะวันตก คอยป้องกันสอดส่องการบุกของทางเตียวสิ้วแล้วเล่าเปียว

จากนั้นเมื่อโจโฉกลับไปปราบลิโป้แล้วเตรียมประจันหน้ากับอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ ซึ่งเป็นศึกตัดสินว่าใครจะครองแดนจงหยวน อ้วนเสี้ยวได้มีจดหมายมาถึงเตียวสิ้วให้ยอมจำนน แล้วจะให้ยศตำแหน่ง ซึ่งหากเตียวสิ้วยอมจำนน โจโฉจะลำบากทันที เพราะเตียวสิ้วสามารถที่จะยกทัพเข้าตีเมืองหลวงฮูโต๋ในระหว่างที่โจโฉติดพันศึกอยู่ที่กัวต๋อได้ แต่กาเซี่ยงอ่านสถานการณ์บ้านเมืองแล้ว จึงแนะนำเตียวสิ้วให้สวามิภักดิ์ต่อโจโฉแทน เตียวสิ้วแย้งว่าเราสังหารลูกชาย องครักษ์กับทหารของเขาไปมากเมื่อศึกครั้งก่อน แล้วโจโฉจะยอมหรือ

กาเซี่ยงชี้แจงว่าหากเตียวสิ้วสวามิภักดิ์ต่ออ้วนเสี้ยว ก็จะกลายเป็นแค่แม่ทัพธรรมดาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เพราะอ้วนเสี้ยวขณะนี้มีกองกำลังและแม่ทัพอยู่มากมายมหาศาลที่สุดในแผ่นดิน และอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง โอกาสที่เตียวสิ้วจะลืมตาอ้าปากแทบจะไม่มีเลย ถึงจะชนะศึกที่กัวต๋อได้ แต่เตียวสิ้วก็จะไม่มีความสำคัญใดๆกับอ้วนเสี้ยวแม้แต่น้อย

แต่หากยอมเข้ากับโจโฉ ซึ่งเวลานี้โจโฉอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบ แม้จะยึดกุมฮ่องเต้ มีความชอบธรรมในการสั่งการ แต่กองกำลังก็ยังไม่ใหญ่โตมาก ตัวโจโฉก็จะสำนึกในความสำคัญของท่าน นอกจากนี้เพื่อการใหญ่เป็นหลักแล้ว คนเช่นโจโฉย่อมสามารถละทิ้งความแค้นส่วนตัวได้ ทางหนึ่งเป็นการยุติความแค้นระหว่างท่านกับโจโฉได้อีกด้วย และเมื่อใดโจโฉชนะศึกที่กัวต๋อ ตัวท่านก็จะมีความสำคัญมากเมื่อเทียบกับการยอมเข้ากับอ้วนเสี้ยว

เตียวสิ้วยอมรับคำแนะนำ จึงยอมไปเข้าพวกกับโจโฉ และก็เป็นไปตามที่กาเซี่ยงพูดมาทั้งหมด โจโฉจัดงานเลี้ยงต้อนรับเตียวสิ้วอย่างสมเกียรติ และยอมลืมความแค้นเก่า แม้ว่าเหล่าแม่ทัพและขุนนางคนอื่นๆจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่โจโฉก็เห็นแก่การใหญ่มาก่อนเรื่องส่วนตัวอย่างที่กาเซี่ยงว่าไว้จริงๆ

โจโฉได้พูดคุยกับกาเซี่ยงว่าการที่เตียวสิ้วยอมมาเข้ากับข้าครั้งนี้ คงเป็นเพราะคำแนะนำของท่าน ว่าแล้วก็ยกให้กาเซี่ยงเข้ามาเป็นกุนซือคนหนึ่งในสังกัด แล้วกราบขอตำแหน่งจากฮ่องเต้ ให้กาเซี่ยงได้ตำแหน่งผู้ตรวจการมฆฑลยี่โจว เรียกว่างานนี้กาเซี่ยงมาเหนือเมฆจริงๆที่สามารถมาเข้าพวกกับโจโฉได้ทั้งที่สร้างความแค้นไว้ถึงขนาดนั้น

ในศึกกัวต๋อ กาเซี่ยงเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมวางแผนการศึก และเป็นผู้ช่วยในการลอบโจมตีฐานเสบียงของอ้วนเสี้ยวในศึกนั้น หลังจากชัยชนะในศึกกัวต๋อแล้วกาเซี่ยงก็ค่อยๆเข้ามามีบทบาทในการวางแผนทางทหารและยุทธ์ศาสตร์ในกองทัพมากขึ้น

แต่ว่าเหล่าขุนพลและกุนซือที่อยู่กับโจโฉมาแต่แรกเริ่มนั้นต่างก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขานัก ด้วยเหตุที่เขาเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญทำให้เตียนอุย โจงั่ง โจอั๋นปินและทหารที่ติดตามโจโฉในครั้งนั้นต้องตายลงเป็นอันมาก กาเซี่ยงเองก็รู้ตัวดีว่าในกองทัพของโจโฉนั้นเขาเปรียบเสมือนแกะดำ ที่เงาหัวยังอยู่ได้เพราะสติปัญญาและความสามารถในการวางแผนการศึกที่เข้าตาโจโฉโดยแท้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ยุ่งหรือข้องแวะกับใครนัก การเสนอความเห็นต่างๆของเขาต่อโจโฉนั้น หากนายไม่ถาม เขาก็จะพยายามไม่พูดอะไร นอกจากว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ด้วยการวางตัวเช่นนี้เขาจึงสามารถอยู่มาได้อย่างตลอดรอดฝั่งในทัพของโจโฉ

ในศึกเซ็กเพ็ก เขาเป็นกุนซือผู้หนึ่งที่คัดค้านการเดินทัพ เพราะเห็นว่าแม้จะรวบรวมจงหยวนได้แล้ว แต่สภาพภายในยังไม่มั่นคง การที่เอาชนะศึกใหญ่มาได้นั้นอาจทำให้เหล่าแม่ทัพและนายทหารได้ใจจนเกินไป ประกอบกับแดนกังหนำมีชัยภูมิมั่นคง ยังไม่สมควรจะบุกแต่ควรจะหันไปพัฒนาและบำรุงบ้านเมืองก่อน ซึ่งโจโฉไม่เชื่อ และตัดสินใจยกทัพลงใต้ โดยในสามก๊กบางฉบับบอกว่ากาเซี่ยงติดตามทัพไปด้วย แต่บางฉบับก็ว่าไม่ได้ไป

หลังจากทัพใหญ่หลายแสนคนของโจโฉพ่ายแพ้กลับมา ก็หันกลับมาเน้นการตั้งรับ แม้จะมีการสร้างฐานทัพที่หับป๋าเพื่อเตรียมสู้กับซุนกวนอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปในทางตั้งรับซะมากกว่า ส่วนกาเซี่ยงนั้นก็ได้เข้ามาช่วยในการบริหารงานอย่างเต็มตัว จนเมื่อเกิดศึกที่ด่านตงก๋วน เมื่อม้าเฉียวยกทัพเสเหลียงมาบุกโจมตี โจโฉก็นำกองทัพใหญ่จากนครหลวงไปสมทบกับโจหองที่เตียงฮัน เพื่อรับศึกม้าเฉียวโดยเอากาเซี่ยงไปด้วยในฐานะเสนธิการทหาร

การศึกเป็นไปอย่างดุเดือด แต่ทางโจโฉนั้นเสียเปรียบกว่าเพราะสภาพอากาศที่ย่ำแย่ของฤดูหนาวซึ่งคนภาคกลางไม่คุ้นเคยเท่าคนภาคเหนือ ประกอบกับม้าเฉียวมีความห้าวหาญเก่งกาจเกินกว่าที่โจโฉคาดเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เอาชนะได้ด้วยแผนการจดหมายฉบับเดียว

เมื่อกลับมาแล้วโจโฉก็จัดให้กาเซี่ยงช่วยเป็นที่ปรึกษาให้แก่โจผีบุตรชายคนโต ซึ่งตอนนั้นสภาพในตระกูลโจกำลังเดือดเพราะการแย่งตำแหน่งทายาทกันของโจผีและโจสิดบุตรคนเล็ก ซึ่งทั้งสองคนต่างมีความสามารถไม่แพ้กัน แต่โจสิดนั้นเป็นลูกคนโปรดที่มีอัจฉริยะในการแต่งกาพย์กลอน ทำให้โจผีเสียเปรียบกว่า

กาเซี่ยงนั้นแม้จะไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้งว่าอยู่ฝั่งโจผี แต่ก็ให้คำแนะนำแก่โจผีว่าให้ทำตัวเป็นบุตรกตัญญู และให้หมั่นศึกษาหาความรู้เข้าไว้แล้วจะดีเอง โจผียอมทำตามนั้นทำให้ภาพพจน์ต่อตัวเองของโจโฉนั้นดีขึ้นมาก ส่วนโจสิดแม้ว่าจะได้เปรียบที่เป็นลูกรัก แต่การทำตัวเที่ยวเตร่วันๆเอาแต่แต่งกลอนดื่มเหล้า ทำให้โจโฉเริ่มไม่พอใจ

จากนั้นกาเซี่ยงก็ใช้ชีวิตอยู่มาเรื่อยโดยที่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการศึกหลังจากนี้เท่าใดนัก เช่นศึกหับป๋า ศึกฮั่นจง ศึกอ้วนเสียของกวนอู เขาอยู่ช่วยในการบริหารงานบ้านเมืองอย่างดีเยี่ยม และการวางตัวของเขาที่ไม่ข้องแวะกับผู้ใดเป็นพิเศษนั้นก็ทำให้หลายฝ่ายพอใจอยู่พอสมควร

จนเมื่อโจโฉซึ่งขณะนี้เป็นงุยก๋งและป่วยหนักใกล้ตาย แต่ก็ยังลังเลใจเรื่องการตั้งทายาทสืบต่อ เขาจึงเรียกกาเซี่ยงมาพบเพื่อขอคำปรึกษา เนื่องจากตอนนั้นที่ปรึกษาคนสำคัญที่อยู่มาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอุปราชเช่นพวกซุนฮก กุยแก ซุนฮิวตายหมดแล้ว เทียหยกก็ลากออกไปหลายปี เหลือเพียงกาเซี่ยงคนเดียวที่เป็นที่ปรึกษาสำคัญในยุคก่อนที่จะขึ้นเป็นมหาอุปราช

กาเซี่ยงฟังแล้วก็ไม่พูดอะไร จนโจโฉอดถามไม่ได้ว่าทำไมจึงเงียบ กาเซี่ยงก็พูดเป็นนัยว่า ข้ากำลังคิดถึงเรื่องของตระกูลอ้วน

อ้วนเสี้ยวนั้นเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโจโฉมาก่อน เขามีลูกชายสามคน มีสองคนที่มีคุณสมบัติสืบทอดตำแหน่งต่อนั้นคือลูกคนโตอ้วนถำ กับลูกคนเล็กอ้วนซง ซึ่งตามหลักแล้วต้องให้ตำแหน่งแก่อ้วนถำลูกคนโต แต่อ้วนเสี้ยวรักลูกคนเล็กมากกว่าจึงคิดจะยกตำแหน่งให้อ้วนถำ สุดท้ายก็กลายเป็นศึกสายเลือดที่มีผลให้ตระกูลอ้วนล่มสลายลง

คำพูดแค่ประโยคเดียวของกาเซี่ยงทำให้โจโฉคิดได้ เขาจึงตัดสินใจยกตำแหน่งให้โจผี บุตรคนโตทันที เมื่อโจโฉตายลง โจผีรับสืบตำแหน่งต่อและทำการปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้ลงจากบัลลังก์ สถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ นามวุยบุ๋นตี้แล้ว ก็ทราบว่าที่ตนได้ตำแหน่งผู้สืบทอดมาเป็นเพราะคำพูดของกาเซี่ยง จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (วุยโซ่วเสียงเหา) เป็นขุนนางชั้นสูงสุดขณะนั้น

กาเซี่ยงได้คอยช่วยเหลือพระเจ้าโจผีอยู่หลายปี ตอนที่โจผีคิดจะยกทักไปตีง่อก๊กและจ๊กก๊ก เขาทัดทานอย่างเต็มที่โดยให้เหตุผลว่า การปกครองดินแดนนั้นสมควรจะต้องมีเสถียรภาพมั่นคง ขณะนี้โจผีเพิ่งเป็นฮ่องเต้ การบริหารงานยังไม่ลงตัว สมควรทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เข็มแข็งก่อน และฝ่ายง่อนั้นซุนกวนยืนหยัดอยู่ที่กังหนำมาหลายสิบปี ลกซุนเป็นแม่ทัพชั้นยอด มีแม่น้ำกั้นเป็นชัยภูมิที่ดียากจะตีแตก ส่วนจ๊กก๊กนั้นเล่าปี่เป็นผู้มีบารมีสูง ขงเบ้งเป็นนักปกครองชั้นยอด ชัยภูมิเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนยากแก่การบุกเข้าไป ดังนั้นการจะบุกทั้งสองแคว้นนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จึงควรที่โจผีจะปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรม บริหารบ้านเมืองให้เข็มแข็งก่อน

แต่โจผีไม่เชื่อและยกทัพไปกำราบง่อก๊ก สุดท้ายก็แพ้กลับมาอย่างยับเยิน จึงยอมทำตามคำของกาเซี่ยงนับจากนั้น

ในปีค.ศ.223 หลังจากโจผีครองราชย์ได้แค่ 3 ปี กาเซี่ยงซึ่งมีชีวิตอยู่มาได้ถึงอายุ 77 ปี ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบที่บ้านของตัวเอง ก่อนตายเขาได้กำชับทายาทของตนว่าอย่าได้ทำตัวเด่นดัง ให้ทำตัวสันโดษ อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนของอำนาจและเขาก็เหลือทรัพย์สินให้ลูกหลานไม่มากนัก ซึ่งเมื่อตายแล้วโจผีได้ตั้งเขาเป็นเจ้าพระยาสมถะ

กาเซี่ยงเป็นกุนซือคนหนึ่งที่ถูกนักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์ดูหมิ่นพอควรในแง่ของการที่ขายมันสมองให้ใครก็ได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร หากเขาได้ใช้ความสามารถก็พร้อมจะทำงานให้ เรียกว่าเขาเป็นเสนาธิการมืออาชีพเลยก็ว่าได้ บางคนกล่าวว่าเขาไร้อุดมการณ์ เพราะเคยทำงานรับใช้คนถ่อยอย่างพวกลิฉุย และยังพร้อมจะเปลี่ยนนายได้ง่ายๆทุกเมื่อหากคิดว่าแผนของตนไม่มีโอกาสใช้ ซึ่งมันขัดกับหลักการความภักดีของขงจื๊อ แต่ว่าสุดท้ายแล้วนั่นมันก็เป็นปกติธรรมดาของคนเราไม่ใช่หรือ ดั่งคำที่ว่า นกดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ซึ่งคำๆนี้ก็เป็นกล่าวจากปราชญ์โบราณเช่นกัน

แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งไม่น่าเชื่อเมื่อเราดูจากพฤติกรรมของเขา ก็คือการที่เขาไม่เคยทรยศหรือหักหลังผู้ใดเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น