วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก ประวัติโจโฉ เมิ่งเต๊อะ ตอนที่2


ประวัติสามก๊ก ประวัติโจโฉ เมิ่งเต๊อะ ตอนที่2

ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของโจโฉนั้นเป็นเส้นคู่ขนานกับเล่าปี่

ยิ่งเล่าปี่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงในทางร้ายของโจโฉก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น ทั้งที่โจโฉเป็นผู้ที่ช่วยพลิกฟื้นแผ่นดินที่ใกล้จะแตกสลายไปให้กลับคืนมาและจัดระเบียบทุกอย่างซะใหม่ ในขณะที่เล่าปี่ยังไม่เคยฝากผลงานการปกครองเอาไว้

ทำให้เราพอจะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างหนึ่งว่าผู้คนไม่นิยมชมชอบผู้ปกครองที่เข้มงวดจนเกินไป แม้ว่าเขาคนนั้นจะช่วยพัฒนาบ้านเมืองขึ้นมาได้ แต่ตามธรรมชาติแล้วผู้คนจะนิยมในผู้ปกครองที่สบายๆมากกว่า ในขณะเดียวกันก็ยังยินยอมที่จะอยู่ภายใต้ปกครองของผู้ที่เข้มงวดเพราะเมื่ออยู่ใต้โจโฉแล้วพวกเขาไม่อดตาย

ด้วยเหตุนี้แม้ว่าชื่อเสียงดวามดุดันและความเข้มงวดของโจโฉจะโด่งดังจนผู้คนกลัวเกรง แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยอมอยู่ในปกครองของเขา

ความทะยานอยากของโจโฉนั้นเป็นของจริง เขาต้องการที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว โดยมีตัวเขาเองเป็นผู้ปกครอง ส่วนตำแหน่งฮ่องเต้นั้น เขาย่อมอยากได้แน่นอน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สถาปนาตัวขึ้นเป็น ทั้งที่ทุกประการที่เขาได้ทำไปนั้นได้แสดงอย่างเด่นชัดว่าเขาต้องการจะเป็นฮ่องเต้ สถาปนาราชวงศ์ขึ้นมา

ถึงกระนั้นการที่เขาไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่กลับกุมฮ่องเต้และควบคุมอำนาจทั้งหมดไว้ แทนที่จะขึ้นเสียเอง ทำให้เขาถูกตราหน้าเป็นโจรกบฏไป และเราก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าคนๆเป็นคนดีหรือเลว ทำเพื่อชาติหรือเพื่อตนเอง ทั้งๆที่มันผ่านมาแล้ว 2000 ปี แต่เวลาก็ยังไม่อาจพิสูจน์ได้เด่นชัด


ประวัติโดยย่อ โจโฉ เมิ่งเต๊อะ


เมื่อรับตำแหน่งมหาอุปราชหรือนายกรัฐมนตรีแห่งราชวงศ์ฮั่นแล้ว โจโฉก็พุ่งเป้าหมายไปที่ภาคใต้เพื่อภารกิจรวบรวมประเทศจีนให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จ

เวลานั้นภาคใต้อยู่ในเขตอิทธิพลของสองตระกูลใหญ่นั่นคือตระกูลเล่าและตระกูลซุน

เล่าเปียวเป็นผู้ปกครองมณฑลเกงจิ๋ว อันเป็นมลฑลที่มีพื้นที่กว้างขวางมากที่สุดในประเทศจีน ส่วนซุนกวนนั้นเป็นผู้ปกครองดินแดนกังตั๋งซึ่งเป็นดินแดนที่มีความเจริญในด้านการค้ามากที่สุดทางภาคตะวันออก เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับทะเลด้านนอก ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกองกำลังที่เข้มแข็งไม่ใช่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจเทียบกับกองกำลังของโจโฉที่ในตอนนั้นสามารถรวบรวมดินแดนภาคเหนือและกลางสำเร็จแล้ว

โจโฉได้ทำตามแผนของซุนฮิวด้วยการส่งจดหมายเตือนให้เล่าเปียวยอมจำนน ซึ่งเล่าเปียวนั้นก็ยังลังเลอยู่ เพราะขุนนางในเมืองต่างแยกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายที่ยุให้ยอมจำนนนำโดยภรรยาชัวฮูหยินและน้องเมียชัวมอ โดยฝ่ายนี้ยังถือหางข้างเล่าจ๋องบุตรคนเล็กของเล่าเปียวอีกด้วย

ฝ่ายที่คัดค้านนำโดยเล่ากี๋บุตรคนโต และมีเล่าปี่ที่นับญาติกับเล่าเปียวเป็นกำลังสนับสนุน ซึ่งก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเล่าเปียวนั้นรักลูกคนเล็กคือเล่าจ๋องมากกว่า และคิดจะยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้ ทำให้เล่ากี๋บุตรคนโตต้องอยู่ในสภาวะที่ลำบาก ด้วยเหตุนี้ขงเบ้งจึงแนะนำให้เล่ากี๋หลบไปซ่องสุมกำลังที่แฮเค้า อันเป็นหัวเมืองสำคัญที่มีอาณาเขตติดกับฝั่งซุนกวน

จนเมื่อเล่าเปียวใกล้ตาย เขาก็ได้มีคำสั่งที่จะยกเมืองเกงจิ๋วให้เล่าปี่ เพราะเชื่อว่าเล่าปี่น่าจะสามารถรับมือโจโฉได้ หากได้เกงจิ๋วเป็นที่มั่น แต่เขาก็ต้องป่วยตายลงก่อน และทำให้ชัวมอหาเหตุกล่าวหาเล่าปี่ว่าเป็นกบฏ ประกอบกับฝ่ายโจโฉที่กำลังจะยกทัพลงใต้มา เล่าปี่จึงตัดสินใจอพยพผู้คนหนีลงมาทางใต้

ทัพของโจโฉเคลื่อนพลลงใต้สู่เมืองเกงจิ๋วเมื่อปี ค.ศ.208 ในเดือน 7 และอีกสองเดือนต่อมาเล่าจ๋องได้ยอมสวามิภักดิ์ ยกเมืองเกงจิ๋วให้แก่โจโฉโดยไม่มีการตอบโต้ ในครั้งนี้โจโฉได้ชัวมอและเตียวอุ๋น สองแม่ทัพเรือของเกงจิ๋วเข้ามาเป็นแม่ทัพสำหรับฝึกทหารเรือให้กองทัพ และยังได้บุนเพ่ง ขุนศึกผู้สัตย์ซื่อและมีฝีมือมาอีกคน จากนั้นเดือนต่อมาเขาได้สั่งประหารขงหยง ซึ่งเป็นปราชญ์บัณฑิตชื่อดังเพราะสืบสายเลือดมาจากมหาปราชญ์ขงจื๊อ สาเหตุเพราะขงหยงมักไม่ยอมลงให้แก่เขาทั้งที่ก็เป็นขุนนางใต้สังกัดคนหนึ่ง เนื่องจากโจโฉนั้นกระทำการหลายอย่างที่ขัดต่อหลักขงจื๊อและเขายังคิดจะทำการปฏิรูปลัทธิขงจื๊อเสียใหม่ ทำให้ขงหยงวิจารณ์โจโฉอย่างออกนอกหน้าอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการต่อต้านอย่างมากในหมู่นักวิชาการ โจโฉจึงได้สั่งประหารขงหยงเสียและนั่นทำให้ชื่อเสียงในด้านความโหดและเลวของโจโฉเริ่มโด่งดังมากขึ้น ขนานไปกับชื่อเสียงด้านดีของเล่าปี่ที่ดังตามไปด้วย

โจโฉสั่งกองทหารให้ไล่ตามทัพของเล่าปี่ที่กำลังอพยพพร้อมราษฎร ซึ่งก็ไล่ทัน เพราะทัพม้าของโจโฉนั้นถูกฝึกมาเป็นพิเศษให้มีความเร็วสูงกว่าทัพทั่วไป ซึ่งหน่วยทหารม้านี้ก็คือหน่วยที่พัฒนามาจากทัพเซียงจิ๋วในอดีตนั่นเอง และยังเป็นหน่วยรบที่มีฝีมือการรบสูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

ด้วยกองทหารที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมนี้ ได้ไล่ฆ่าทหารของเล่าปี่และชาวบ้านไปจำนวนมาก ตัวเล่าปี่ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน และต้องเสียครอบครัวไปในครั้งนี้ แต่ยังดีที่อาเต๊าลูกชายเพียงคนเดียวสามารถรอดมาได้โดยวีรกรรมการบุกฝ่าทหารนับแสนเพียงลำพังของจูล่ง ที่ได้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งในประวัติศาสตร์สามก๊ก

ทัพของโจโฉไล่ตามมาถึงสะพานเตียงปันแต่เตียวหุยได้ทำลายสะพานทิ้งทำให้ทัพโจโฉตามมาไม่ได้ และต้องเสียเวลาอ้อมไปนานทีเดียว ทำให้เล่ากี๋นำทัพหนุนมาช่วยเล่าปี่เอาไว้ได้และพากันหนีไปยังแฮเค้า โจโฉจึงเลิกไล่ตามและตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองกังเหลงจากนั้นจึงจัดระเบียบปกครองในเกงจิ๋วใหม่และส่งหนังสือไปให้ซุนกวนที่ครองกังตั๋งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ให้ยอมสวามิภักดิ์

ช่วงนี้เองที่โจโฉเริ่มมีใจฮึกเหิมในอำนาจวาสนามากขึ้น โดยเขาได้แต่งตั้งเล่าจ๋องให้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วส่วนที่ติดอยู่ใกล้กับเมืองหลวง และในระหว่างที่เล่าจ๋องเดินทางกลับไปรับตำแหน่งนั้นก็ได้ส่งอิกิ๋มให้ไปทำการสังหารเสียกลางทาง

ปกติแล้วโจโฉแม้จะโหดเหี้ยมต่อศัตรูผู้ต่อต้าน แต่เขาก็มักจะให้โอกาสแก่ผู้ที่ยอมจำนนเสมอ เช่นกรณีเตียวซิ่วและกาเซี่ยงซึ่งเป็นคนที่ทำให้เตียนอุยและโจงั่งต้องตาย แต่พอยอมจำนนเขาก็รับไว้ หรืออย่างตันก๋งนั้นตอนแรกที่จับตัวได้ เขาก็เกลี้ยกล่อมแต่เมื่อตันก๋งไม่ยอมจึงค่อยลงมือประหาร ขุนพลคนสำคัญของโจโฉอย่างเตียวเลี้ยว เตียวคับ ก็ล้วนแต่เป็นแม่ทัพที่ถูกจับได้และยอมสวามิภักดิ์ทั้งนั้น

กับเล่าจ๋องซึ่งเป็นเพียงเด็กอายุยังไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ปรากฏว่าจะมีความสามารถอะไร โจโฉกลับเลือกที่จะฆ่าทิ้งเพื่อทำลายฐานอำนาจของตระกูลเล่าต่อเมืองเกงจิ๋วในอนาคต แสดงให้เห็นว่าตัวของโจโฉเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางร้ายเช่นกัน

โจโฉเริ่มเตรียมกองทัพเข้าตีเมืองกังตั๋ง เพราะฝ่ายซุนกวนไม่ยอมจำนน และยังประกาศสู้ศึก พร้อมทั้งผูกพันธมิตรกับเล่าปี่อีก และนี่คือที่มาของการรบที่ดังที่สุดในเรื่องสามก๊กอย่างศึกเซ็กเพ็ก

ในนิยายสามก๊กบรรยายเรื่องราวไว้มากมายและล้วนแต่พิสดาร แต่สามก๊กจี่ของเฉินโซ่วกับบันทึกไว้ไม่มากนัก โดยสรุปเพียงว่าทัพของโจโฉเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น ไม่อาจที่จะทำการรบได้ รวมกับทหารส่วนใหญ่ที่โจโฉใช้เป็นกองหน้านั้นส่วนใหญ่เป็นทหารเกงจิ๋วที่มาสวามิภักดิ์ โจโฉจึงตัดสินใจถอยทัพกลับแต่ก็ถูกทัพของจิวยี่แม่ทัพใหญ่ของกังตั๋งไล่ตีตามหลังและได้เผาเรือของฝ่ายโจโฉทิ้งไปเป็นจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นทหารกำลังหลักของโจโฉก็ไม่ได้เสียหายมากมายอย่างที่ในนิยายว่าไว้ว่าตายไปนับแสนเหลือรอดเพียงไม่กี่ร้อยคน เพราะถ้าเสียหายขนาดนั้นจริงล่ะก็ ในปีต่อมาโจโฉคงไม่อาจที่จะนำกำลังมาสร้างทัพเรืออยู่ที่หับป๋าเพื่อเตรียมบุกกังตั๋งได้หรอก ถ้าแพ้ยับไปขนาดนั้นขวัญทหารย่อมเสียหายหนัก ตัวโจโฉเองก็คงขยาดและกว่าที่จะเตรียมการรุกเพื่อเอาคืนย่อมต้องใช้เวลาอีกนาน แต่นี่หลังศึกเซ็กเพ็กแค่ 4-5 เดือนโจโฉก็เตรียมการลงใต้อีกครั้งแล้ว

เรื่องโรคระบาดที่ชุกชุมในแดนใต้อย่างรุนแรงนั้นมีบันทึกไว้ในสามก๊กทุกฉบับ และก็ได้ระบาดหนักมากในกองทัพของโจโฉ ซึ่งสภาวะที่โรคระบาดทำลายกำลังขวัญทหารอย่างหนักเช่นนี้ ต่อ่ให้เป็นแม่ทัพที่โง่เขลาแค่ไหนก็ย่อมไม่คิดที่จะนำทัพออกรบแน่นอน แล้วผู้นำทัพอย่างโจโฉนั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์มาโชกโชนและมีสติปัญญาสูง เขาจะเลือกการนำกองทัพขี้โรคไปทำสงครามหรือ ต่อให้เขามีความฮึกเหิมมาจากการรบชนะอ้วนเสี้ยวและได้เมืองเกงจิ๋วมาง่ายๆมากเพียงใด เมื่อมาเจอสภาพแบบนี้เข้าก็ย่อมท้อใจได้เช่นกัน

และนั่นจึงเป็นเหตุให้นำทัพกลับ โดยระหว่างถอยนั้นก็ถูกทัพของจิวยี่ที่ตั้งมั่นรออยู่แล้วรุกเข้าตีต่อเนื่อง และใช้ไฟจู่โจมทำลายทัพเรือของโจโฉทิ้ง และเท่ากับว่าจิวยี่เป็นผู้ชนะไปในศึกนี้ ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ของโจโฉ ถือว่าเป็นการแพ้ครั้งที่หนักหนาที่สุดยิ่งกว่าสมัยที่เคยแพ้ลิโป้เสียอีก

แต่หากยึดตามฉบับนิยาย ถึงเรื่องกลอุบายการเผาทัพเรือของโจโฉที่ฝ่ายจิวยี่ร่วมกันคิดกับขงเบ้งในนิยายนั้น แม้ว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งเสริมและเปลี่ยนแปลง แต่ก็จะขอเล่าย่อๆว่า ขงเบ้งได้ร่วมวางแผนกับจิวยี่ในการจะถล่มทัพเรือของโจโฉด้วยการวางเพลิง จึงต้องหาทางทำให้เรือของโจโฉถูกผูกติดกันเป็นแนวยาว ซึ่งการนำโซ่มาผูกติดเรือนั้น ในกลุ่มที่ปรึกษาของโจโฉก็เคยคิดไว้ เพียงแต่เพราะกลัวจะว่าจะถูกโจมตีด้วยไฟ จึงไม่ได้ทำ ดังนั้นเพื่อให้โจโฉทำเช่นนั้น จำต้องหาคนนอกที่มีควมเชื่อถือได้เข้ามาเกลี้ยกล่อม คนผู้นั้นต้องมีสติปัญญา เป็นที่ยอมรับของผู้คน และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อศึกครั้งนี้ ซึ่งขงเบ้งได้เสนอชื่อบังทองขึ้นมา โลซกนึกได้ว่าขณะนี้บังทองอยู่ที่กังตั๋ง จึงได้เข้าพบและปรึกษากับบังทอง เพื่อเชิญเขามาทำงานให้ ซึ่งบังทองก็ยอมรับ และได้เข้าพบโจโฉ จากนั้นก็เสนอแนะแผนการให้เอาโซ่มาผูกเรือติดกัน ซึ่งโจโฉก็ทำตามเพราะทหารของตนมีปัญหาเมาเรือเนื่องจากส่วนใหญ่มาจากทางเหนือซึ่งไม่ชำนาญการรบบนเรือ

เกี่ยวกับเรื่องที่ทหารโจโฉไม่ชำนาญการรบบนเรือนั้น หากไม่นับตามนิยายแล้วมีข้อหักล้างอยู่ เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่มีแม่น้ำหลายสายพาดผ่าน แต่ละสายก็ล้วนแต่ยาวและกว้างมาก อย่างเช่นแม่น้ำฮวงโหทางตอนเหนือที่มีความยาวไม่ด้อยไปกว่าแม่น้ำแยงซีทางตอนล่าง นั่นทำให้ชาวจีนไม่ว่าจะภูมิภาคไหนก็ล้วนแต่เป็นนักเดินเรือที่เก่งฉกาจ เพียงแต่ว่าพวกที่อยู่ทางใต้จะชำนาญมากว่าเพราะภูมิประเทศมีแม่น้ำมากกว่าและติดทะเล ถึงกระนั้นชาวจีนทางเหนือก็ไม่ได้ห่วยถึงขนาดที่เมาเรือกันง่ายๆ เพราะแม่ทัพหลายคนในสามก๊กที่เก่งการรบบนเรือก็มีพื้นเพมาจากทางภาคกลางและภาคเหนือเช่นจิวยี่นั้นไม่ได้เป็นคนใต้แต่กำเนิด แต่เป็นชาวภาคกลางที่อพยพลงใต้และมาได้ดีจากการรบทางเรือ ซึ่งแต่เดิมเขารบบนหลังม้าด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าชาวจีนทางเหนือที่รบทางเรือไม่เก่งต้องหมายถึงพวกชาวจีนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือหรือพวกที่อยู่นอกด่านออกไป พวกนี้จะเชียวชาญการรบบนหลังม้าเป็นพิเศษ อย่างเช่นพวกตั๋งโต๊ะ ลิโป้ เตียวเลี้ยว ม้าเฉียว กลุ่มนี้จะมีสายเลือดของคนทางตะวันตกเฉียงเหนือที่อยู่บนทุ่งราบและภูเขาซึ่งพวกนี้จะรบบนหลังม้าได้เก่งแบบสุดๆ

เมื่อโจโฉนำโซ่มาผูกติดกันแล้ว ฝ่ายจิวยี่ก็ได้ส่งอุยกายทำทีมาสวามิภักดิ์ แต่ที่จริงเป็นหน่วยกล้าตายที่เข้ามาเพื่อลอบวางเพลิงในทัพของโจโฉ และก็สำเร็จ ทัพเรืออันใหญ่โตของโจโฉถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น ตัวโจโฉก็ต้องถอนทัพหนีกลับไปยังกังเหลง ซึ่งระหว่างทางหนีนั้นเองที่ได้กลายเป็นเรื่องราวตอนกวนอูปล่อยโจโฉในฉบับนิยาย

เมื่อมาถึงกังเหลงแล้ว โจโฉก็ได้ใช้ให้หยินนำทัพตั้งมั่นรักษาการเอาไว้ จิวยี่นำทัพออกรบกับโจหยินติดพันในดินแดนนี้นานเกือบหนึ่งปี ก็ยังไม่อาจตีแตกได้ จนกระทั่งจิวยี่ต้องบาดเจ็บจากการถูกธนูยิงระหว่างเข้าตี ส่วนโจหยินนั้นหลังจากตั้งยันอยู่นาน ก็คิดว่าคงไม่อาจจะเอาอยู่ จึงได้สละเมืองกังเหลงหนีขึ้นเหนือไป ฝ่ายง่อจึงประสบชัยชนะในครั้งนี้ ส่วนโจโฉนั้นเคลื่อนพลส่วนหนึ่งไปยังหับป๋าเพื่อรับศึกจากทางซุนกวนที่นำกำลังอีกสายเข้าบุกทางนั้น การตั้งยันเป็นไปอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็เลิกรากันไป โจโฉจึงสั่งให้เตียวเลี้ยวเฝ้ารักษาเมืองหับป๋า คอยต้านรับซุนกวนที่อาจจะมาทุกเมื่อ

ในปี ค.ศ. 210 เมื่อถอนกำลังจากหับป๋าแล้ว โจโฉก็ได้กลับเข้าเมืองหลวง และปีนี้เองโจโฉได้ขุดพบนกยูงสัมฤทธิ์ จึงสร้างปราสาทขึ้นเพื่อเสริมบารมีและเข็นเอานางสนมทั้งหลายเข้ามาในปราสาทนี้เตรียมหาความสำราญในวัยชรา แถมด้วยการจัดประลองการยิงธนูของเหล่าขุนพลเป็นการแสดงให้เห็นว่าทัพของโจโฉมีคนเก่งกาจอยู่มากมาย ซึ่งการประลองครั้งนี้ซิหลงเป็นฝ่ายชนะ

จากนั้นเขาก็เริ่มคิดเรื่องทายาทจึงได้ทำการแต่งตั้งโจผีให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ให้โจสิดไปครองเมืองผิงหยวน เป็นการผลักดันให้ลูกๆของตนได้เข้ารับงานสำคัญ ส่วนโจเจียงบุตรคนที่สามนั้นแม้จะรบเก่งแต่ขาดสติปัญญาและไหวพริบจึงให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพไป

ปีต่อมาเกิดเรื่องสำคัญขึ้นเมื่อม้าเท้งผู้นำแห่งกองทัเสเหลียงทางตะวันตกเฉียงเหนือได้เข้ามารายงานตัวในเมืองหลวง แล้วคิดวางแผนก่อรัฐประหารแต่พลาดถูกจับประหารพร้อมลูกชายคนโต ทำให้ม้าเฉียวลูกคนรองที่รักษาการอยู่ที่เสเหลียงแค้นมากประกาศไม่อยู่ร่วมโลกกับโจโฉ จากนั้นร่วมมือกับหันซุยนำกองทัพม้าเสเหลียงที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารม้าที่แข็งแกร่งพอๆกับทัพเซียงจิ๋วบุกเข้าโจมตีเมืองเตียงฮัน

โจโฉได้ให้โจหองญาติผู้น้องเป็นผู้เฝ้าด่านตงก๋วนซึ่งเป็นประตูสู่เมืองเตียงฮัน โดยมีซิหลงเป็นผู้ช่วย แต่ด้วยความบุ่มบ่ามของโจหองทำให้พลาดท่าเสียทีและต้องถอยกลับมา

เมื่อโจโฉนำทัพใหญ่มาถึงก็เริ่มเปิดศึกกันโดยในชั้นแรกเขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เกือบเสียชีวิต โดยในศึกนี้เคาทูยอดองครักษ์ได้สร้างชื่อด้วยการรบเสมอกับม้าเฉียวจนทวนหักคามือของพวกเขาทั้งสอง

ฝ่ายโจโฉรบอย่างยากลำบากเพราะไม่เคยชินภูมิประเทศ ประกอบกับกำลังขวัญทหารที่ฝ่ายม้าเฉียวมีมากกว่าจากการรบชนะติดๆกัน แต่เขาก็ยังคงยื้อยันมาได้จนถึงฤดูหนาวซึ่งทำให้ทางฝ่ายม้าเฉียวเริ่มกระวนกระวาย จากนั้นโจโฉก็ได้วางอุบายด้วยการส่งหนังสือนัดหันซุยมาคุยกันกลางสนามรบเพื่อสร้างความหวาดระแวงให้แก่ม้าเฉียว เพราะตัวม้าเฉียวนั้นมีนิสัยขี้ระแวง โจโฉอ่านออกว่าหากสามารถตัดขาดคนทั้งคู่ได้ม้าเฉียวที่มีดีแค่ความกล้าหาญกับฝีมือรบย่อมเสร็จเขาแน่นอน

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ม้าเฉียวระแวงว่าหันซุยคิดจะไปเข้ากับโจโฉจนทะเลาะกันอย่างหนัก และรบกันเองภายในค่าย โจโฉที่รอดูท่าทีอยู่ก็รีบนำกองทัพเข้าตีจนม้าเฉียวต้องหนีเอาตัวรอดไป เสร็จศึกแล้วโจโฉก็ตั้งให้หันซุยที่ยอมจำนนเป็นเจ้าเมืองเสเหลียงและวางกำลังรักษาจุดต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ม้าเฉียวเข้ามารุกรานได้อีก

เมื่อโจโฉกลับถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็ได้พระราชทานเกียรติยศพิเศษแก่โจโฉด้วยการอนุญาตให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้าทุกวันเช่นขุนนางทั่วไปและสามารถถือกระบี่เข้าวังได้และไม่ต้องถวายบังคม จะเห็นได้ว่าตอนนี้โจโฉเป็นผู้กุมอำนาจทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่าฮ่องเต้แล้ว ตัวของฮ่องเต้มีเพียงแค่ชื่อกับบัลลังก์เท่านั้น ซึ่งหากเป็นตัวโจโฉในอดีตที่เขายังมีใจคิดพิทักษ์ราชวงศ์ฮั่น เขาคงจะไม่รับพระราชทานนี้ แต่นี่โจโฉเปลี่ยนไปแล้ว อำนาจวาสนามากมายที่ได้รับทำให้เขามีใจทะยานอยากที่จะครองแผ่นดินซะเอง เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้ชิงราชบัลลังก์ด้วยตัวเองเท่านั้น

ช่วงนั้นเองที่เตียวสงข้าราชการจากเมืองเสฉวนได้เดินทางมาเข้าพบโจโฉโดยหวังจะมอบแผนที่เมืองเสฉวนให้เพื่อให้โจโฉได้เข้ามาครอบครองเสฉวน ต้นเหตุของเรื่องคือ เตียวลู่เจ้าเมืองฮั่นจงคินำกำลังบุกเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยง ตัวของเล่าเจี้ยงนั้นเป็นคนขลาด จึงหวังจึ่งให้โจโฉนำทหารเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งที่กำลังทหารของเสฉวนก็มากพอที่จะสู้ศึกได้ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงส่งเตียวสงมาเป็นทูตเจรจา แต่คนผู้นี้เป็นขุนนางขายชาติ เขาคิดว่าเล่าเจี้ยงคงไม่อาจจะครองแดนเสฉวนไปได้ตลอดรอดฝั่ง จึงคิดจะหาคนอื่นมาครองเสฉวนแทน เขาจึงได้ทำแผนที่เมืองเสฉวนขึ้นเพื่อจะมามอบให้โจโฉเพื่อหวังให้เขาได้เข้ามายึดเสฉวนไป แน่นอนว่าเรื่องนี้เตียวสงทำไปเพื่อลาภยศส่วนตน เขาเห็นว่าถ้าโจโฉได้เมืองเสฉวนจากการชี้แนะของเขา ตัวเขาก็ได้อยู่อย่างสุขสบาย โดยอ้างเอาเรื่องที่เล่าเจี้ยงอ่อนแอไม่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าเวฉวนมาเป็นข้ออ้างให้กับการขายชาติของตนเท่านั้น

เตียวสงผู้นี้เป็นคนที่มีหน้าตารูปร่างอัปลักษณ์ ชนิดที่ใครเห็นก็รังเกียจ แต่รับราชการยู่ได้เพราะมีสติปัญญาสูงและความจำเป็นเลิศ เมื่อโจโฉเจอหน้าครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดชัง แต่ก็จำต้อนรับเพราะเห็นว่าเป็นทูต จากนั้นเตียวสงได้แสดงภูมิปัญญาในการท่องจำตำราเมิ่งเต๋อเซินซูที่โจโฉเขียนขึ้นเองได้ทั้งหมดและยังกล่าวว่า แม้แต่เด็กๆในเสฉวนก็ท่องได้เช่นกัน โจโฉโกรธจัดจึงเผาตำราพิชัยสงครามที่ตนแต่งขึ้นเองเล่มนี้ทิ้ง และขับไล่เตียวสงไป เตียวสงแค้นใจที่ถูกขับไล่แถมยังถูกโบยอีกจึงหันไปหาเล่าปี่แทน เพื่อให้เล่าปี่นำกองทัพเข้าไปช่วยเหลือเล่าเจี้ยง จนเมื่อเล่าปี่ได้เข้าเมืองเสฉวนในฐานะผู้ช่วยเหลือและนับพี่น้องกับเล่าเจี้ยงแล้ว สุดท้ายก็เป็นเล่าปี่ที่ได้อาศัยแผนที่และการชี้นำของเตียวสงและขุนนางบางส่วนในเสฉวนเช่นหวดเจ้งและเบ้งตัด ทำให้เล่าปี่สามารถยึดเอาเสฉวนมาได้อย่างง่ายดายและใช้เป็นฐานในการก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมาได้

หลายคนหาว่าโจโฉโง่ที่ขับไล่เตียวสงพียงเพราะรูปร่างหน้าตาทำให้อดได้เมืองเสฉวน แต่ถามว่าการได้เมืองของผู้อื่นมาด้วยวิธีการสกปรกเช่นนั้นมันเหมาะสมหรือ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังทหาร ใช้กลอุบายเพื่อเอาชัย หรือใช้การเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนต่างเป็นวิธีการที่เหล่าขุนศึกสามก๊กใช้ในการเอาเมืองมาเป็นของตน ซึ่งมันไม่ถือว่าผิดเพราะในการสงครามนั้นขอเพียงบรรลุเป้ามายย่อมไม่เลือกวิธี

แต่กระนั้นในความหมายของคำว่าไม่เลือกวิธี ย่อมมีบางสิ่งในสำนึกของนักรบที่ไม่ควรจะนำมาใช้ จะเรียกว่าเป็นเกียรติของลูกผู้ชายก็ได้

การได้เมืองของผู้อื่นมาโดยวิธีการเข้าไปหาเขาแล้วมาทรยศหักหลังเอาทีหลังนั้น ในเรื่องสามก๊กไม่มีใครเกินเล่าปี่อีกแล้ว เหล่าขุนศึกในสามก๊กคนอื่นๆแทบทุกคนล้วนแต่ได้เมืองมาโดยการออกแรงใช้กำลังทหารเข้าประจัญบาน ไม่ก็ใช้แผนการกลยุทธ์ แต่แผนการเหล่านั้นก็ไม่ได้รวมถึงการเข้าไปหักหลังคนอื่น ประวัติของโจโฉนั้นไม่เคยมีสักครั้งว่าเขาได้เมืองมาด้วยการทำทีว่าจะเข้าไปช่วยเหลือแล้วหักหลังเอาทีหลังสักครั้ง

แม้การไล่เตียวสงไปจะทำให้โจโฉอดได้เมืองเสฉวน แต่หากได้เมืองมาอย่างสกปรกเช่นนั้นก็อย่าได้มาเลย สู้นำกำลังทหารมาประจันกลางสนามรบอย่างสมเกียรติดีกว่า

เพิ่มเติมเรื่องของตำราเมิ่งเต๋อเซินซูที่ถูกเผาทิ้งไปหน่อย ตำรานี้โจโฉเขียนขึ้นโดยการยึดเอาตำราพิชัยสงครามซุนหวู่เป็นหลัก ตำราเล่มนี้มีเป้าหมายหลักในการที่จะพยายามและอธิบายหลักการศึกในตำราซุนหวู่ ซึ่งก็นับว่าทำได้อย่างละเอียด นอกจากนี้แท้จริงแล้วตำรานี้ยังมีตกทอดเหลือมาถึงยุคหลัง ไม่ได้ถูกทำลายลงในคราวนี้นทั้งหมด เนื่องจากในภายหลังนั้นถังไท่จงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถังได้เคยมีการกล่าวอ้างถึงหลักการและกลยุทธ์ในตำรานี้บ่อยครั้ง ซึ่งเรื่องนี้มีบันทึกในตำราพิชัยสงครามหลี่จิ้ง ซึ่งเป็นตำราพิชัยสงครามที่มีลักษณะการถามตอบปัญหาการศึกระหว่างถังไท่จงกับหลี่จิ้ง แม่ทัพไร้พ่ายในยุคนั้น ซึ่งยังมีการกล่าวอ้างถึงตำราของขงเบ้งด้วย ผลสรุปเกี่ยวกับตำราของโจโฉที่วิเคราะห์โดยฮ่องเต้และแม่ทัพที่รบเก่งที่สุดสองคนของยุคนั้นออกมาว่าตำราของโจโฉแม้จะอธิบายหลักการของซุนหวู่ไว้อย่างละเอียดและน่าสนใจ แต่ก็มีบางส่วนที่ตีความไม่ลึกซึ้งพอและยังมีแนวทางการเขียนที่ค่อนข้างหลอกคนอ่าน เหมือนกับต้องการจะปิดบังภูมิปัญญาแก่คนรุ่นหลัง เรียกว่าหากเชื่อตามแนวคิดในตำราของโจโฉนี้หมด โดยไม่วิเคราะห์ให้ดี ก็อาจจะพ่ายในการศึกได้ นับว่าโจโฉคนนี้เป็นผู้ที่แสบจริงๆ

ปีค.ศ. 213 โจโฉรับพระราชทานยศเป็นวุยก๋ง ด้วยการสนับสนุนของเหล่าขุนนางที่มีตังจิ๋วเป็นหัวเรือ โดยอ้างว่าโจโฉทำคุณต่อแผ่นดินมากมายสมควงที่จะได้รับพระราชทานนววิธยศเก้าประการอันเป็นตำแหน่งสูงสุดเหนือคนสามัญ ซึ่งตำแหน่งนี้มีความใกล้เคียงกับตำแหน่งฮ่องเต้อย่างที่สุด อันเป็นตำแหน่งที่คนธรรมดาไม่อาจได้รับ

ซุนฮกไม่เห็นด้วยที่โจโฉจะรับตำแหน่งสู่งสงเหนือคนขนาดนั้นจึงคัดค้านอย่างรุนแรง และยกเหตุผลว่าโจโฉเป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ว่าจะทำคุณงามความดีสักเท่าไหร่ ต้องไม่ยกตนเสมอเจ้า โจโฉไม่พอใจมากเพราะตนต้องการตำแหน่งนี้ หลังจากนั้นจึงเฉยชาต่อซุนฮก ทำให้ซุนฮกเสียใจมากและลาจากราชการโดยอ้างว่าป่วย ภายหลังเมื่อโจโฉส่งคนให้นำอาหารมาให้ ปรากฏว่าในถาดนั้นว่างเปล่า ซุนฮกจึงกินยาฆ่าตัวตาย

การตายของซุนฮกเป็นสิ่งยืนยันถึงความมักใหญ่และทะเยอทะยานของโจโฉได้อย่างดี ชนิดที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่ออกมาแก้ต่างให้ว่าโจโฉทำเพื่อแผ่นดินโดยไม่คิดชิงบัลลังก์

แต่แรกเดิมทีการตั้งตัวของโจโฉนั้นอาจจะเป็นการทำเพื่อบ้านเมืองอย่างจริงใจ จากครั้งที่ปราบโจรผ้าเหลืองและตั๋งโต๊ะนั้น เขายอมทุ่มกายถวายชีวิตอย่างสุดกำลังในขณะที่เหล่าขุนศึกต่างเห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ความเบื่อหน่ายต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนศึกที่หวังในอำนาจนี้เองที่อาจจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนให้โจโฉคิดจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินบ้าง

การที่คนเราได้ยืนในตำแหน่งสูงสุดของแผ่นดินเป็นเวลาหลายปี เป็นรองก็แค่เจ้าเหนือหัว แต่เจ้าคนนั้นก็ไม่ได้มีอำนาจแท้จริง อำนาจการปกครองการบัญชาทหารทั้งหมดเป็นของตน คุณคิดว่าคนๆนั้นจะคิดอ่านเช่นไรล่ะ

โจโฉก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง เมื่อได้มากเข้าก็ย่อมอยากได้เพิ่มขึ้น สุดท้ายมันก็กลายเป็นความทะยานอยากคิดครอบครองทุกสิ่ง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันและในอนาคตก็คงไม่ผิดไปจากนี้

เมื่อซุนฮกตายลงก็ไม่มีผู้ใดคิดคัดค้านอีก โจโฉได้รับยศเป็นวุยก๋งมีอำนาจล้นพ้นใกล้เคียงกับฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจะไปล้มบัลลังก์ฮ่องเต้ทำไมให้เสียประวัติ ในเมื่อตนเองก็มีอำนาจเทียบเคียงฮ่องเต้อยู่แล้ว สู้เก็บไว้ฮ่องเต้ไว้จะยิ่งทำให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อเขาในฐานะผู้ภักดีเสียด้วยซ้ำ ถึงภายหลังจะมีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นโจรกบฏก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะเขาไม่ได้ล้มบัลลังก์ เขาไม่ใช่คนที่ล้มราชวงศ์ฮั่น ทางกลับกันยังช่วยต่ออายุให้แถมยังเลี้ยงดูฮ่องเต้อย่างดีซะอีก

และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาคาดคะเน ผ่านมา 2000 ปีแล้วเขากลับจะทิ้งปริศนาให้พวกเราที่อ่านกันอยู่นี้มานั่งเถียงกันไม่จบสิ้นเลยว่าความจริงแล้วเขาเป็นคนดีหรือเลว หวังดีหรือหวังร้ายต่อราชบัลลังก์และราชวงศ์ฮั่น แสบไหมล่ะ!!!

จากนั้นก็มีข่าวว่าซุนกวนยกทัพมาที่หับป๋า โจโฉจึงนำทัพมาตั้งยัน ทั้งสองฝ่ายสู้ศึกจนถึงฤดูฝน ก็เลิกรากันไป เมื่อเสร็จศึกกลับมาเมืองหลวงแล้ว เหล่าขุนนางก็คิดจะยกโจโฉขึ้นเป็นวุยอ๋องซึ่งถือว่าตำแหน่งสูงกว่าเป็นวุยก๋งเสียอีก เรียกง่ายๆคือตำแหน่งกษัตริย์ ครานี้ซุนฮิวหลานของซุนฮกเป็นผู้คัดค้านและก็มีจุดจบคล้ายกับซุนฮกคือกินยาฆ่าตัวตาย

เมื่อเสียที่ปรึกษาเอกไปสองคนเพราะเรื่องการเลื่อนตำแหน่งของตน ทำให้โจโฉเริ่มคิดได้บ้างและหยุดเรื่องการขึ้นเป็นวุยอ๋องไว้ก่อน ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นชนวนให้โจโฉผิดใจครั้งรุนแรงกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องที่เขาคิดจะขึ้นเป็นวุยอ๋องจึงเสียใจมาก นางฮกเฮามเหสีเอกจึงวางแผนกับฮกอ้วนผู้เป็นบิดา ให้ติดต่อเล่าปี่กับซุนกวนให้ยกทัพเข้ามาจัดการกับโจโฉ แต่แผนรั่วก่อน โจโฉจึงจับประหารทิ้งท่ามกลางการขอร้องของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จากนั้นโจโฉก็ตั้งลูกสาวของตนที่เป็นสนมให้เป็นมเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งลูกสาวคนนี้ของโจโฉก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพ่อและช่วยร้องขอชีวิตให้พระนางฮกเฮาแต่ก็ไม่สำเร็จ

เสร็จเรื่องในเมืองหลวง โจโฉได้ใช้ให้แฮหัวตุ้นนำทัพหน้าไปตีเมืองฮั่นจงเพื่อจะใช้เป็นฐานเข้าตีเมืองเสฉวนต่อในอนาคต และก็ตีแตกได้โดยในครั้งนี้ได้ทหารเอกคนใหม่ซึ่งเคยอยู่กับม้าเฉียวมาก่อนนั่นคือบังเต๊ก

ตอนที่โจโฉตีเมืองฮั่นจงแตกนั้น เสบียงยุ้งฉางของราษฎรไม่มีเสียหายเลย ซึ่งค่อนข้างแปลก เพราะส่วนใหญ่เมื่อขุนศึกรู้ตัวว่าจะแพ้มักจะทำลายเสบียงยุ้งฉางทิ้งเพื่อมิให้ข้าศึกที่เข้าเมืองมาได้เอาไป โจโฉจึงสืบถามดูพบว่าเตียวลู่นี้เป็นคนใจอารีต่อประชาชนกลัวว่าชาวบ้านจะลำบากจึงหนีไปแต่ตัวโดยหนีไปอยู่ที่ปาตง รู้ดังนั้นโจโฉจึงให้ส่งหนังสือไปเกลี้ยกล่อม แต่เตียวลู่ยังระแวงอยู่จึงไม่รับ โจโฉจึงนำทัพไปตีปาตงเมื่อจับเตียวลู่ได้ก็ไม่ทำร้ายและยังแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปาตงต่อไป

เมื่อได้ฮั่นจงแล้ว เสฉวนก็อยู่อีกไม่ไกล สุมาอี้ซึ่งตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งเสนาธิการได้เสนอให้ตีรุกต่อไปเพราะหากว่าไม่รีบและเล่าปี่ได้เสฉวนไปแทนจะลำบาก แต่โจโฉเห็นว่าเสฉวนมีชัยภูมิเป็นภูเขาสูงพิสดารก็ไม่คิดเสี่ยง และพูดว่า "ธรรมดาคนเราเมื่อได้หนึ่งแล้วยังจะหาอีกหนึ่ง เมื่อได้ฮั่นจงแล้วใยต้องไปตีเอาเสฉวนที่ทางกันดารด้วยเล่า"

คำพูดนี้แสดงความในใจบางอย่างได้ดี สามสี่ปีที่ผ่านมาโจโฉต้องวุ่นวายเพราะการคิดเลื่อนยศและการตีเมืองขยายดินแดนมาตลอด ซึ่งการตีกังตั๋งก็ล้มเหลวถึงสองครั้ง เพราะการเลื่อนยศทำให้ต้องเสียขุนนางผู้ซื่อสัตย์และตามรับใช้มายาวนานไปถึงสองคน รวมกับอายุที่เข้า 60 แล้ว ทำไมจะไม่เกิดความท้อและการปลงขึ้น นอกจากนี้ทางเข้าเสฉวนก็กันดารและยากลำบากจริงๆ ตัวเขาเป็นผู้นำทัพที่ต้องนำทหารเป็นแสนคน การตัดสินใจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การที่สุมาอี้และที่ปรึกษาคนอื่นๆเสนอให้เข้าตีเสฉวนนั้นเพราะพวกเขาต้องให้คำแนะนำในฐานะเสนาธิการ แต่ในสถานะผู้นำของโจโฉนั้นหากไม่แน่ใจแล้วจะลงมือไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงถอนตัวกลับและตั้งให้ขุนพลอยู่รักษาฮั่นจงแทน ซึ่งที่จริงแล้วการไม่ตามตีเสฉวนต่อนั้น แท้จริงจะเป็นผลดีหรือเสียสำหรับโจโฉก็อยากจะทราบได้ หากวันนั้นเขายกทัพบุกเสฉวน ไม่แน่ว่าก็อาจจะถอนรากถอนโคนเล่าปี่ที่อยู่ในช่วงจัดระเบียบในเสฉวนได้ หรือไม่ก็อาจจะพ่ายแพ้ยับกลับไป

ปีเดียวกันนี้เองซุนกวนยกกองทัพใหญ่กว่าแสนคนมาที่หับป๋า ซึ่งซุนกวนได้ใช้ให้เตียวเลี้ยว ลิเตียน งักจิ้นเป็นผู้รักษา แต่ว่าสถานการณ์ค่อนข้างอันตรายเพราะฝ่ายเตียวเลี้ยวมีทหารแค่ 8000 คน คอยรักษาเมืองเท่านั้น

โจโฉรีบนำทัพใหญ่ไปช่วยด้วยตนเอง แต่เมื่อไปถึงก็ต้องประหลาดใจสุดขีด เมื่อพบว่าเตียวเลี้ยวอาศัยทหารแค่ 8000 คนยันทัพแสนคนของซุนกวนไว้ได้จนเขามาทัน จึงชมเชยเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก และแต่งตั้งเตียวเลี้ยวเป็น เจิงตงเจียงจวุน หรือนายพลบุกบูรพา

เกี่ยวกับการใช้เตียวเลี้ยวนี้ต้องถือว่าโจโฉมีความละเอียดอ่อนไม่น้อย เขารู้ว่าเตียวเลี้ยวเป็นเพื่อนกับกวนอู มีความสัมพันธ์กับฝ่ายเล่าปี่ไม่น้อย จึงส่งเขามารับหน้าที่อยู่หับป๋าเพื่อคอยรับศึกทางซุนกวนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ไปรับศึกทางเล่าปี่เลยสักครั้ง นับว่าเขาเป็นคนรู้จักลูกน้องดีมากคนหนึ่งและมีศิลปะด้านการใช้คนนี้ไม่เลว

ในการศึกครั้งนี้ โจโฉได้ประจันหน้ากับแม่ทัพของฝ่ายซุนกวนนามว่ากำเหลง ที่บ้าบิ่นถึงขนาดให้หน่วยรบพิเศษเพียง 100 คนลอบบุกเข้าค่ายโจโฉ และแทบจะประชิดถึงตัวโจโฉด้วยซ้ำ ทำให้ชื่อเสียงของกำเหลงโด่งดังไปทั่วคู่กันกับเตียวเลี้ยว

การศึกยืดเยื้อไปนาน ทั้งสองฝ่ายก็รบแบบตอดกันไปมาจนกระทั่งถึงหน้าฝน ทหารโจโฉประสบความลำบากมาก จนขวัญทหารตกต่ำ ประกอบกับทางซุนกวนส่งหนังสือมาเจรจา โจโฉจึงยอมยกทัพกลับ ซึ่งในศึกนี้โจโฉได้กล่าวยกย่องซุนกวนมากว่า "มีบุตร ต้องให้ได้อย่างซุนกวน"

เมื่อยกทัพกลับ ในปีต่อมา ค.ศ. 216 เขาก็ได้ตั้งตนเป็นวุยอ๋องสมใจในเดือน 5 โดยมีเครื่องราชูปการเทียบเท่าฮ่องเต้ ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว สวมมงกุฎประดับมุก 12 สาย มีขบวนแห่แหนเทียบเท่าฮ่องเต้

แม้จะได้ตำแหน่งและบารมีเทียบเท่าฮ่องเต้มา แต่สิ่งที่เสียไปคือเกียรติคุณต่างๆที่ทำไว้แผ่นดิน ความนิยมของประชาชนต่อโจโฉก็เริ่มเสื่อมลงในช่วงนั้น ทั้งนี้เพราะเหล่าขุนนางขี้ประจบที่พากันยุยงให้โจโฉได้รับตำแหน่งยิ่งใหญ่ อันเป็นการจุดไฟแห่งความอยากให้แก่ตัวโจโฉอย่างที่ไม่อาจจะเรียกกลับมาได้

ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะทำให้นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรของไทยเรา พระองค์นั้นทรงเป็นกษัตริย์ที่เติบโตมาในฐานะนักรบ และมีเลือดนายทหารอย่างแท้จริง ตอนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นทรงแต่งตั้งให้พระอนุชาคือพระเอกาทศรถมีตำแหน่งเทียบเท่าองค์ และให้เป็นผู้ปกครองดูแลเมืองอยุธยาอย่างเต็มที่ ส่วนตัวท่านนั้นเลือกที่จะใช้ชีวิตในสมรภูมิร่วมกับเหล่าทหาร

อาจเพราะพระองค์ทรงชอบจะอยู่ร่วมกับเหล่านายทหารที่ตรงไปตรงมามากกว่าที่จะอยู่ในราชวังที่เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางขี้ประจบทั้งหลายก็เป็นได้

โจโฉยามอยู่ในสนามรบในฐานะแม่ทัพเขาจะมีน้ำใจต่อเหล่านายทหาร ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง แม้ว่าจะพ่ายศึกมาเขาก็จะให้โอกาสแก้ตัว กับศัตรูที่มีความกล้าหาญเป็นลูกผู้ชาย เขาก็มีใจรักอยากจะได้มาอยู่ด้วย แต่เมื่อมาอยู่ในราชสำนัก เขาต้องถกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าขุนนางขี้ประจบ ลาภยศอำนาจวาสนาที่อยู่ตรงหน้า ก็มักจะทำให้เขาต้องกระทำการที่ต้องเสื่อมเสียแก่ตนเองหลายต่อหลายครั้ง

ในช่วงนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นลายอย่างกับโจโฉ เมื่อมีข่าวว่าเล่าปี่จะยกทัพมาตีเมืองฮั่นจง โจโฉจึงส่งโจหองให้ไปรักษาเมือง โดยตนจะยกทัพตามไปช่วย แต่กวนลอผู้วิเศษทำนายว่าในเมืองหลวงฮูโต๋จะเกิดความวุ่นวาย โจโฉจึงให้หยุดกองทัพรอไว้ และตั้งให้อองปิดเป็นผู้บัญชาการทหารในเมือง

และก็เกิดความวุ่นวายขึ้นจริงๆ เมื่อขุนนาง 5 คนคือ เกงจี อุยหลง กิมหัน เกียดเมา และเกียดมอ ได้วางแผนก่อจลาจล แต่เนื่องจากโจโฉเตรียมพร้อมไว้ก่อนจึงปราบปรามได้สำเร็จ ดังนั้นโจโฉจึงนับถือกวนลอเป็นอันมาก

ปีเดียวกันนี้เอง ซุนกวนยังส่งสารมาแสดงความคารวะ พร้อมทั้งยกยอให้โจโฉตั้งตนเป็นฮ่องเต้ไปเลย เหล่าขุนนางต่างเห็นชอบด้วย สุมาอี้ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นเสนาธิการของโจผีจึงแนะนำให้ทำตาม แต่โจโฉไม่เห็นด้วย และเป็นอีกครั้งที่เขาไม่ทำตามคำแนะนำของสุมาอี้

ปีต่อมาโจหองซึ่งเผ้ารักษาฮั่นจงเกิดความใจร้อนอยากจะเผด็จศึกกับฝ่ายเล่าปี่ จึงส่งเตียวคับซึ่งเป็นรองแม่ทัพออกไปสู้กับทัพของเตียวหุยซึ่งก็ต้องกลศึกของเตียวหุย พ่ายแพ้กลับมาหลายครั้ง จากนั้นเล่าปี่ได้ส่งฮองตงมาทะลวงจนเตียวคับต้องถอยร่นไปและฮองตงยังได้เลยไปจนเข้าตีกับแฮหัวเอี๋ยนที่ฮั่นจง และด้วยแผนการของหวดเจ้ง ฮองตงก็ได้สังหารแฮหัวเอี๋ยนตาย

แฮหัวเอี๋ยนเป็นญาติสนิทของโจโฉ การตายของเขาสร้างความเสียใจแก่โจโฉมากจึงรุดนำทัพใหญ่เข้าปะทะกับทัพของฮองตงที่เขาเตงกุนสันและเกือบจะล้อมจับฮองตงได้แต่ต้องมาเสียทีแก่ทัพของจูล่งที่ยกทัพตามมาช่วย โจโฉสั่งกองทัพเข้าไล่ตามทัพของจูล่ง แต่ก็ถูกกลศึกของจูล่งล่อหลอกทำให้ทัพที่ไล่ติดตามมาถูกตีแตกพ่าย โจโฉจำต้องสั่งกองทัพให้ถอยร่นและได้เสียค่ายที่ทุ่งฮันซุยไป สุดท้ายจึงต้องถอยร่นมาอยู่ที่ด่านเปงก๋วน ซึ่งตัวโจเจียงผู้บุตรได้มาช่วยไว้จึงรวมกำลังตั้งหลักอีกครั้งที่เขาเสียดก๊ก เพื่อรับมือทัพใหญ่ของเล่าปี่ที่ตามมาสมทบ

ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่นานไม่อาจเอาชนะกัน โจโฉเองก็เริ่มขาดแคลนเสบียงจึงตัดสินใจถอยทัพกลับและเท่ากับต้องเสียเมืองฮั่นจงให้แก่เล่าปี่ไป จะว่าไปแล้วนี่นับเป็นครั้งแรกที่โจโฉยกทัพใหญ่มาปะทะกับเล่าปี่โดยตรงแล้วแพ้ และยังเป็นการเสียฐานกำลังทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ทั้งหมดให้แก่เล่าปี่อีกด้วย

โจโฉเริ่มรู้แล้วว่าเล่าปี่แข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อน จนไม่อาจประมาทได้อีก จึงส่งหนังสือลับไปให้ซุนกวน ขอให้ร่วมกันตีขนาบพร้อมกันโดยซุนกวนตีเข้าที่เกงจิ๋วส่วนเขาจะตีเข้าที่ซงหยง ซึ่งทางฝ่ายซุนกวนขณะนั้นโลซกได้ตายไปแล้ว พันธมิตรเล่าซุนก็เริ่มถึงคราวเริ่มแตกหัก อันเป็นชนวนสู่การตายของกวนอูในภายหลัง

ฝ่ายโจโฉที่กลับมาเมืองหลวงนั้นเริ่มกังวลเรื่องทายาทผู้สืบตำแหน่ง เพราะมีตัวเต็งสองคนนั่นคือโจผีและโจสิด ตัวเขานั้นรักลูกคนที่สี่คือโจสิดมากกว่าเพราะเก่งในเรื่องโคลงกลอน แต่ในฐานะพี่คนโตขณะนั้นเพราะโจงั่งตายแล้ว โจผีย่อมมีสิทธิ์สืบทอดอย่างถูกต้อง

เริ่มแรกฝ่ายโจสิดได้เปรียบกว่าเพราะมีที่ปรึกษาเก่งอย่างเอียวสิ้ว แต่คนๆนี้ก็ดันปากมากเกินไปจนต้องตายในราวที่โจโฉยกทัพกลับจากศึกเล่าปี่เมื่อปีก่อน ความได้เปรียบจึงมาอยู่ที่โจผีซึ่งทำตัวเป็นลูกกตัญญู

ทางฝ่ายซุนกวนเมื่อเอาชนะศึกที่เกงจิ๋ว และจับกวนอูประหารได้นั้นก็ได้นำศีรษะใส่กล่องส่งมาให้แก่โจโฉ เมื่อโจโฉเปิดดูก็ตกใจจนล้มป่วยลง เพราะชายคนนี้เคยเป็นคนที่โจโฉยกย่องและยอมรับในความเก่งกาจมานาน

โจโฉสั่งให้นำศีรษะกวนอูไปฝังศพอย่างสมเกียรติ ณ สุสานนอกเมืองลั่วหยาง แล้วนับแต่นั้นเขาก็ป่วยเรื่อยมา ถึงขนาดที่ว่านอนละเมอฝันว่าจะมีคนมาตามฆ่า ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลกรรมที่เขาจำต้องได้รับจากการเขนฆ่าผู้อื่นมากมาย

ส่วนเรื่องที่ว่าโจโฉเชิญหมอฮัวโต๋มารักษาแต่แล้วกลับสั่งประหารเพราะหมอเสนอวิธีรักษาด้วยารเปิดกระโหลก จนโจโฉระแวงว่าหมอฮัวโต๋คิดฆ่าตนนั้น เป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องแต่ง เนื่องจากสามก๊กจี่บันทึกว่าหมอฮัวโต๋ได้ตายไปก่อนนี้แล้วหลายปี และในบันทึกจดหมายเหตุของทางวุยและง่อก็มีเขียนถึงเรื่องโรคระบาดที่แพร่อยู่บริเวณดินแดนเกงจิ๋วตอนกลาง ที่ทำให้ขุนนางหลายคนของฝั่งวุยและง่อได้ล้มตายลง

โรคที่โจโฉเป็นก่อนจะตายนั้นคือโรคปวดศีรษะขั้นรุนแรง หรือจะเรียกว่าน้ำในสมองก็ได้ มันส่งผลให้เขาเกิดความคลุ้มคลั่งอย่างหนัก จนในที่สุดเมื่อรู้ตัวว่าใกล้จะไม่รอด ก็ได้เรียกตัวกาเซี่ยงมาเพื่อขอคำแนะนำว่าควรจะให้ใครเป็นทายาทสืบต่อ ระว่างโจผีและโจสิด

กาเซี่ยงไม่ตอบอะไร เพียงแต่พูดว่ากำลังคิดถึงเรื่องพี่น้องสุกลอ้วนที่ตายเพราะการแก่งแย่งอำนาจระหว่างพี่น้อง ทำให้โจโฉคิดได้และตั้งโจผีที่เป็นคนโต มีอาวุโสและการตัดสินใจเด็ดขาดกว่าขึ้นเป็นผู้สืบทอดแทน

แล้วในปีค.ศ.220 เจี้ยงอันปีที่ 25 เดือน 1 วันที่ 23 โจโฉก็ได้สิ้นพระชนม์ในตำแหน่งวุยอ๋อง ด้วยอายุ 66 ปี มีเมียแบบเป็นทางการทั้งหมด 13 คน ลูกชาย 25 คน ลูกสาวไม่ทราบจำนวน ส่วนโจผีลูกชายก็ได้ขึ้นสืบทอดอำนาจและปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้ลงในเดือน 10 ของปีนี้ และตั้งตนขึ้นเป็นพระเจ้าวุยบุ๋นตี้ ก่อตั้งราชวงศ์วุยขึ้น ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง และตั้งยศย้อนหลังให้โจโฉเป็นพระเจ้าวุยบู๊ตี้ เท่ากับว่ายกให้โจโฉเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ตัวจริง

เรื่องของโจโฉนี้ผมได้รวบรวมข้อมูลมาจากหลายที่ และพยายามเรียบเรียงเขียนขึ้นในแบบฉบับและแทรกความเห็นของตัวเองลงไป โดยเป็นมุมมองที่มองเขาในฐานะของคนธรรมดาที่มีทั้งความดี เลว เพราะในโลกนี้ไม่มีใครจะเลวไปซะหมด หรือดีเต็มร้อย

แต่โจโฉผู้นี้นับเป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดคนหนึ่งในสามก๊กและในประวัติศาสตร์จีนหรือของโลก ด้วยความแปลกและความเก่งของเขา ทำให้ชื่อของเขาคงอยู่มาทั้งในฐานะของทรราชย์และวีรบุรุษในคราวเดียวกันมากว่า 2000 พันปี

จะมีสักกี่คนที่จะฝากชื่อไว้ได้แบบนี้ เพราะทุกวันนี้เราก็ยังมานั่งเถียงกันอยู่เลยว่าจริงๆแล้วชายคนนี้ดีหรือเลว

2 ความคิดเห็น: