วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก ซุนเกี๋ยน เหวินไท่

ซุนเกี๋ยน ชื่อรองเหวินไท่ 

ซุนเกี๋ยน สามก๊ก
เขาคือลูกหลานของซุนหวู่สุดยอดนักการทหารที่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์โลก เป็นชาวอำเภอฟู่ชุน จังหวัดหวูจวุ้น เกิดเมื่อปี ค.ศ.156 ซุนเกี๋ยนในวัยหนุ่มเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการขี่ม้าและเพลงอาวุธ นิสัยใจคอห้าวหาญเกินคน และมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยม เล่ากันว่าเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 17 ปี 

เขาเคยปราบพวกโจรสลัดที่อาละวาดทางตอนใต้ได้ด้วยตัวคนเดียว ความสามารถของเขาเป็นที่ลื่อลือและได้รับการยอมรับจากราชสำนัก จึงได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บังคับการทหาร จากนั้นก็ได้เกิดการลุกฮือขึ้นของชาวผ้าเหลือง ซุนเกี๋ยนถูกส่งให้ไปเป็นผู้ช่วยของรองแม่ทัพใหญ่จูจุ้นที่คอบปราบโจรทางภาคใต้และภาคกลาง ซึ่งซุนเกี๋ยนก็ได้แสงผลงานในการปราบโจรจนเป็นที่เลื่องลือ ทางราชสำนักจึงได้ทำการแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ว่าราชการแห่งเมืองเตียงสา

จากนั้นในปี ค.ศ. 189 ตั๋งโต๊ะก่อรัฐประหารทำการยึดอำนาจจากราชสำนัก เหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินจึงรวมตัวกันเป็นกองทัพพันธมิตรเพื่อปราบทรราชย์ ซุนเกี๋ยนเป็นผู้หนึ่งที่ตอบรับเข้าร่วมในกองทัพพันธมิตร ซุนเกี๋ยนนำกองทัพเดินทางขึ้นมาจากตอนใต้และสามารถเอาชัยต่อทัพของตั๋งโต๊ะมาได้ตลอดทาง จนชื่อของเขาเป็นที่ยำเกรงไปทั่วหล้า อ้วนเสี้ยวผู้นำแห่งทัพพันธมิตรได้สั่งให้อ้วนสุดคอยช่วยเหลือซุนเกี๋ยนโดยทำหน้าที่เป็นทัพหลังดูแลเสบียงให้

เพราะทัพของซุนเกี๋ยนได้รับมอบหมายให้เข้าโจมตีจากอีกเส้นทาง แต่อ้วนสุดนั้นอิจฉาที่ซุนเกี๋ยนทำผลงานได้มากมาย จนเรียกว่าเกินหน้าขุนศึกคนอื่นๆในทัพพันธมิตร และอาจกลัวว่าซุนเกี๋ยนจะเข้าถึงเมืองหลวงได้ก่อนใคร ดังนั้นจึงแกล้งไม่ยอมส่งเสบียงช่วยเหลือ จนสุดท้ายทัพของซุนเกี๋ยนก็ต้องพ่ายแพ้ เรื่องที่อ้วนสุดไม่ส่งเสบียงนั้น น่าคิดว่าอาจจะเป็นคำสั่งที่เขาได้รับมาจากอ้วนเสี้ยวอย่างลับๆ ว่าให้หาทางขัดขวางมิให้ซุนเกี๋ยนได้เข้าเมืองหลวงก่อนเป็นคนแรก เพราะยามนั้นบารมีและเกียรติภูมิของซุนเกี๋ยนมีมากพอถึงขนาดที่สามารถตั้งตนเป็นฮ่องเต้เลยก็ได้ ซุนเกี๋ยนโกรธจัดที่อ้วนสุดไม่ยอมส่งเสบียงมาช่วยทั้งที่ตกลงกันไว้แล้ว

แต่เมื่อเขานำเรื่องนี้ไปโวยในที่ประชุมของทัพพันธมิตร อ้วนเสี้ยวกลับไม่ยอมลงโทษอะไรอ้วนสุด ซุนเกี๋ยนจึงเริ่มรู้ถึงธาตุแท้ของเหล่าขุนศึกในทัพพันธมิตร ดังนั้นเขาจึงนำกองทัพของตนแยกออกมาทำการโดยอิสระ โดยรับหน้าที่เป็นทัพหน้าของทัพพันธมิตร จากนั้นหลังศึกที่ด่านฮูเลาซึ่งผลคือความพ่ายแพ้ของเทพนักรบอย่างลิโป้ แต่โดยรวมทัพของตั๋งโต๊ะสามารถยันทัพพันธมิตรไว้ได้นั้น ตั๋งโต๊ะจึงทำการสั่งเผาเมืองหลวงลกเอี๋ยงและย้ายไปอยู่ที่เตียงฮันแทน แทนที่จะไล่ตามทัพของตั๋งโต๊ะไป ทัพพันธมิตรกลับตั้งค่ายอยู่ที่นอกเมือง ปล่อยให้โจโฉนำกองทัพไล่ตามไปคนเดียวและต้องถกเล่นงานจนพ่ายแพ้ ส่วนซุนเกี๋ยนนั้นนำกองทัพของตนเข้าเมืองหลวงลกเอี๋ยงที่ถูกทำลายเสียหายยับเยิน และได้ทำการบูรณะซ่อมแซม ซุนเกี๋ยนได้ใจของปวงประชาเป็นอันมากสำหรับการกระทำครั้งนี้ เพราะไม่มีขุนศึกของทัพพันธมิตรคนใดคิดจะช่วยเหลือชาวเมืองลกเอี๋ยงในสภาพที่บ้านเมืองถูกเผาและปล้นชิง มีเพียงซุนเกี๋ยน ขุนศึกจากแดนใต้เท่านั้นที่ยื่นมือเข้าช่วยพวกเขา ประวัติศาสตร์ยกย่องการกระทำของซุนเกี๋ยนครั้งนี้มาก แต่ในที่สุดมันก็เกิดรอยด่างขึ้นเพียงเพราะคำว่าอำนาจตัวเดียว นั่นคือระหว่างที่ซุนเกี๋ยนได้ทำการซ่อมแซมวังหลวงที่ถูกเผานั้น เขาได้บังเอิญค้นพบตราหยกประจำฮ่องเต้ ที่เรียกว่าตราพระราชลัญจกรเข้า ซึ่งตราหยกนี้คนจีนสมัยก่อนถือว่าเป็นของวิเศษประจำตัวของฮ่องเต้

หากใครได้ครอบครองผู้นั้นจะมีวาสนา ได้เป็นใหญ่ในอนาคต มันเป็นเรื่องของความเชื่อและบารมี ซุนเกี๋ยนเมื่อได้ตราหยกนี้มาก็เกิดความทะเยอทะยานขึ้นในใจ และเกิดความคิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นในแผ่นดิน ดังนั้นจึงยุติการซ่อมแซมเมืองหลวงและตัดสินใจนำกองทัพยกกลับไปยังแดนใต้ เพื่อเตรียมการใหญ่สำหรับอนาคต สุดท้ายซุนเกี๋ยนก็ไม่ได้ต่างไปจากขุนศึกคนอื่น ฝ่ายอ้วนเสี้ยวนั้นได้ข่าวว่าซุนเกี๋ยนได้ค้นพบตราหยกจึงส่งคนมาสอบถามและให้ซุนเกี๋ยนยอมมอบตราหยกออกมาโดยอ้างว่าตราหยกเป็นของสูง ซุนเกี๋ยนไม่ควรเก็บไว้ ซุนเกี๋ยนบอกว่าตนไม่ได้เอาไปจนถึงขั้นสาบานไว้หากพูดเท็จขอให้ตายด้วยคมอาวุธ ซึ่งสุดท้ายแล้วอ้วนเสี้ยวต้องยอมให้ซุนเกี๋ยนยกทัพกลับไป

แต่เขาก็ยังเจ็บแค้นซุนเกี๋ยนอยู่ จึงส่งจดหมายไปแจ้งให้เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วให้ยกทัไปสกัดทัพของซุนเกี๋ยนที่จะกลับลงใต้ เกี่ยวกับเล่าเปียวนี้ ต้องขอบอกว่าเขาเป็นคนที่ใช้ไม่ได้อย่างมาก ทั้งที่เหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินต่างตอบรับที่จะร่วมกันเป็นพันธมิตรปราบโจรตั๋งโต๊ะ แม้ว่าจะมีจุดประสงค์แอบแฝงก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นการยอมทำเพื่อชาติ เล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นเมืองใหญ่แทนที่จะเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย กลับเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เคยมีคนแก้ตัวให้ว่าเพราะเล่าเปียวไม่อยากให้ทหารไปตายอย่างเปล่าประโยชน์หรือเพราะเขามองออกว่าทัพพันธมิตรไม่จริงใจต่อกัน นั่นเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น

เพราะเมื่ออ้วนเสี้ยวมีจดหมายแจ้งให้เขาสกัดทัพของซุนเกี๋ยนที่มีข่าวลือว่าครอบครองตราหยก เขากลับเลือกที่จะทำตามโดยไม่ลังเล เล่าเปียวก็คือขุนศึกคนหนึ่งที่มีใจทะยานอยากที่จะชิงแผ่นดิน เพียงแต่ไม่อยากจะลงแรงเท่านั้น ซึ่งหากว่ามีทางลัดอะไรอื่นที่จะทำให้เขาได้ผลประโยชน์ เขาก็จะทำ ดังเช่นกรณีส่งทัพไปสกัดทัพของซุนเกี๋ยนในครั้งนี้ ซุนเกี๋ยนเจ็บแค้นเล่าเปียวมาก

เมื่อสามารถนำทัพกลับมายังแดนใต้ได้ ตระกูลซุนกับเล่าเปียวจึงกลายเป็นศัตรูกัน ประกอบกับซุนเกี๋ยนก็มีแผนการที่จะบุกยึดเมืองเกงจิ๋วเพื่อใช้เป็นฐานกำลังในอนาคต พูดถึงครอบครัวของซุนเกี๋ยนนั้น เขามีภรรยาสองคน คนแรกนั้นให้กำเนิดลูกแก่เขาถึงสี่คน มีชื่อว่าซุนเซ็ก ซุนกวน ซุนเซียง ซุนของ ส่วนภรรยาคนรองนั้นมีลูกชายลูกสาวอย่างละคน ชื่อซุนลอง ส่วนลูกสาวชื่อซุนหยิน ซุนเกี๋ยนตัดสินใจยกทัพไปปราบเล่าเปียว ซึ่งทัพของเขาสามสามารถเอาชัยมาติดๆกัน จนแทบจะประชิดเมืองเซียงหยางซึ่งเป็นเมืองเอกของเกงจิ๋วอยู่แล้ว

แต่แล้วในการรบกับแม่ทัพลีก๋งซึ่งเป็นทหารเอกของเล่าเปียว เขาก็ต้องพลาดท่าอย่างไม่คาดคิด เรื่องคือซุนเกี๋ยนนั้นชะล่าใจที่ได้ชัยชนะติดๆกัน ดังนั้นจึงขี่ม้านำทหารเพียงไม่กี่สิบคนเป็นทัพหน้า ซึ่งซุนเกี๋ยนนั้นควบม้าได้เร็วมากจนแซงคนอื่นๆและนำออกไปเพียงลำพัง ลีก๋งคาดเส้นทางเดินทัพของซุนเกี๋ยนออก จึงส่งพลแม่นธนูซุ่มไว้ เมื่อพบซุนเกี๋ยนขี่ม้ามาเพียงลำพัง จึงสั่งให้ทหารระดมธนูใส่ ในที่สุดนักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่างซุนเกี๋ยนก็ต้องสิ้นชื่อไปจากโลกด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี ซึ่งเคยมีคนกล่าวไว้ว่าหากซุนเกี๋ยนยังไม่ตาย

ไม่แน่ว่าแผ่นดินอาจจะตกเป็นของเขาไปแล้วก็ได้ เพราะผู้นำของอีกสองก๊กคือเล่าปี่กับโจโฉในเวลานั้น คนหนึ่งเป็นเพียงแค่เลขาธิการของทัพพันธมิตรซึ่งมีกำลังทหารในมือเพียงแค่ 5 พันคน อีกคนก็เป็นเพียงแค่นายอำเภอเมืองผิงหยวนที่อยู่ใต้สังกัดของกองซุนจ้าน ในขณะที่ซุนเกี๋ยนตอนนั้นเป็นถึงเจ้าเมืองเตียงสาที่มีอิทธิพลบารมีครอบคลุมน่านน้ำตอนใต้และยังมีกำลังทหารและเหล่าแม่ทัพฝีมือเข้มแข็งขนาดว่าสามารถเป็นทัพหน้าให้แก่ทัพพันธมิตรในการต่อสู้กับตั๋งโต๊ะได้

และการที่เขาเป็นคนในตระกูลซุนที่สืบเชื้อสายมาจากซุนหวู่ก็ทำให้เหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินให้ความยำเกรง สรุปแล้วเรียกได้ว่าขณะที่เล่าปี่และโจโฉกำลังเริ่มต้นนับที่ 1 และ 2 ซุนเกี๋ยนได้พุ่งไปอย่างน้อย 3-4 ขั้นของบันไดการแย่งชิงแผ่นดินแล้ว น่าเสียดายที่เขาตายไปก่อนไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์ยุคสามก๊กจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกเยอะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น