ปลาหมอตายเพราะปาก
สุภาษิตนี้ใช้ได้ทุกยุคสมัยและมักจะเกิดขึ้นกับคนที่เก่งและฉลาด
คนเก่งหลายคนมักต้องตายเพราะความฉลาดเกินไปหรือเพราะอวดรู้มากเกินไป ซึ่งเหล่าผู้มีอำนาจนั้นต่างก็ไม่ค่อยจะชอบคนที่อวดรู้เกินตนเองเท่าใดนัก
และโจโฉก็เป็นคนหนึ่ง
ในยุคสามก๊กนั้นมีผู้นำที่เก่งกาจปรากฏขึ้นมาหลายคน แต่หากเรามองอย่างเป็นกลางแล้วล่ะก็ เราจะพบว่าคนที่เป็นผู้ที่มีความสามารถสูงที่สุดและเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับและเก่งกาจที่สุดของยุคนั้นก็คือ โจโฉ เมิ่งเต๋อ
โจโฉมีที่ปรึกษาผู้เปี่ยมด้วยความสามารถมากมายหลายต่อหลายคน เอียวสิ้วเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
แต่ทั้งที่เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวผู้หนึ่ง สุดท้ายแล้วกลับต้องพบจุดจบเพราะความอวดรู้ของตัวเอง
ประวัติโดยย่อ
เอียวสิ้ว หรือ หยางโซ่ว ชื่อรองคือเต๋อะจู่ น่าเสียดายที่ผมไม่มีประวัติและข้อมูลในช่วงวัยเยาว์ของเขาเลย ถิ่นกำเนิดนั้นผมเองก็ไม่ทราบ
เขาโผล่มาครั้งแรกในสามก๊ก ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะที่ปรึกษาคนสนิทของโจสิด บุตรชายคนที่ 4 ของโจโฉและเป็นบุตรคนที่โจโฉรักมากที่สุดด้วย
จะขอกกล่าวถึงโจสิดเล็กน้อย เขานั้นเป็นอัจฉริยะทางด้านการแต่งโคลงกลอน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีเอกแห่งยุค ร่วมกันกับโจโฉและโจผีพ่อและพี่ชายของเขา จนใครๆต่างยกย่องว่าเป็นสามพ่อลูกกวีเอก
ในบรรดาลูกทั้งหมด โจสิดเป็นคนที่โจโฉโปรดปรานที่สุดเพราะโจสิดเป็นคนหัวไว และมักจะแต่งโคลงกลอนได้เป็นที่ถูกใจของโจโฉอยู่เสมอ
เอียวสิ้วนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมีความสามารถรอบด้าน และด้านโคลงกลอนเขาก็เก่งไม่น้อย เขาจึงคุยกันได้ถูกคอกับโจสิด ด้วยเหตุนี้ในบรรดาที่ปรึกษาทั้งหมด เอียวสิ้วจึงได้เป็นคนที่โจสิดยกย่องมากที่สุดถึงขั้นให้เป็นอาจารย์
แต่ทั้งที่คนฉลาด 2 คนมารวมกันแล้วน่าที่จะส่งเสริมกันมันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะการรวมกันของคน 2 คนนี้กลับทำให้พวกเขาแทบจะต้องเสียหัวหลายครั้ง เพราะความเก่งของตนเอง
ที่เป็นแบบนั้นเพราะเอียวสิ้วแม้จะเป็นคนฉลาดแต่กลับมีนิสัยชอบโอ้อวดและบางครั้งก็รู้เกินไป
มีครั้งหนึ่ง โจโฉสั่งให้สร้างอุทยานเป็นสถานที่สำหรับหย่อนใจ เมื่อใกล้จะเสร็จแล้ว เขาได้ไปตรวจดูสวนแห่งนั้น และไม่ได้กล่าวติชมแต่อย่างใด ตอนขากลับโจโฉได้เขียนตัวหนังสือตัวหนึ่งไว้ที่ประตูทางเข้าเป็นอักษรจีนว่า"ฮัวะ"แล้วก็กลับไป
คนที่คุมงานก่อสร้างก็ไม่เข้าใจว่าโจโฉพอใจหรือไม่อย่างไร จนเอียวสิ้วเดินมาดูสวนเห็นอักษรที่โจโฉเขียนทิ้งไว้ ก็ตีความหมายของคำนั้นว่าโจโฉไม่พอใจประตูที่กว้างเกินไป คนก่อสร้างจึงแก้ไขประตูเสียใหม่
เมื่อโจโฉมาชมสวนครั้งต่อไป ก็พอใจกับประตูบานใหม่มาก จึงสอบถามคนคุมงานก่อสร้างว่าเป็นใครที่อ่านความคิดของเขาออก จึงรู้ว่าเป็นเอียวสิ้ว
โจโฉนึกชมเอียวสิ้วว่าเป็นคนที่มีไหวพริบมองทะลุถึงความคิดตน แต่ขณะเดียวกันก็นึกระแวงคนเช่นนี้ไปด้วย
ครั้งต่อมามีชาวด่านทางภาคเหนือส่งขนมเปี๊ยะชั้นดีมาให้แก่โจโฉ เขารับไว้แล้วก็เขียนหนังสือที่หน้ากล่องเป็นอักษรจีนว่า "โซวหนึ่งกล่อง" "ยิเฮอะโซว" แล้วก็วางไว้ก่อนเพราะตนต้องไปทำธุระอย่างอื่น
คำๆนี้มีเคล็ดให้คนตีความหมายได้แปลกๆ (ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอก) ในกรณีนี้เอียวสิ้วได้ผ่านมาเห็นตัวหนังสือบนกล่องเข้า ก็ตีความว่าให้เอาขนมนั้นไปแบ่งให้ทหารกินคนละคำ จึงรีบนำขนมนั้นไปตัดแบ่งให้ทหารกินก่อนที่โจโฉจะสั่งการ
พอโจโฉถามหาขนมก็พบว่าถูกส่งไปให้ทหารกินหมดแล้ว ใจจริงแล้วเขาก็ต้องการจะให้ทหารกินอยู่แล้วเพียงแต่กะจะกินก่อนแล้วค่อยให้ทหารไปจึงเขียนอักษรไปแบบนั้น การกระทำของเอียวสิ้วจึงถือเป็นการทำโดยอวดรู้เกินไป
อีกคราวหนึ่ง โจโฉเคยบอกให้ทหารรู้กันโดยทั่วว่าตัวเขานั้นมีนิสัยแปลกอยู่อย่างคือชอบละเมอฆ่าคน ดังนั้นขอให้ทุกคนอย่าเข้าไปใกล้เวลาที่เขานอนหลับโดยเด็ดขาด ซึ่งมันก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีผู้รับใช้คนหนึ่งเห็นโจโฉนอนหลับในยามอากาศหนาวและผ้าห่มหลุดตกพื้น ด้วยความหวังดีทำให้ลืมคำเตือนของโจโฉและเข้าไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาเพื่อจะคลุมกายให้
โจโฉก็ลุกพรวดและหยิบกระบี่ที่ข้างตัวขึ้นมาสังหารคนรับใช้คนนั้นทันที แล้วก็หลับต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอตื่นขึ้นมาเห็นมีคนมานอนตายอยู่ก็เอะอะถามว่าเกิดอะไรขึ้น
คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็พูดกันว่าท่านมหาอุปราชเป็นโรคละเมอร้ายจริงๆ เอียวสิ้วได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า
"ท่านโจโฉไม่ได้ละเมอร้ายหรอก คนรับใช้นั่นต่างหากที่ฝันร้าย"
โจโฉได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ก็เก็บความไม่พอใจในตัวเอียวสิ้วไว้อีก โดยเอียวสิ้วไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหัวจะขาดเต็มที แถมยังเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องที่สำคัญและใหญ่โตอย่างเช่นเรื่องการตั้งทายาทผู้สืบทอดอำนาจของโจโฉด้วย
เป็นที่รู้กันทั่วว่าโจโฉนั้นโปรดลูกชายคนที่ 4 คือโจสิดและคิดจะตั้งให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจเมื่อตนล่วงลับไปแล้ว ทั้งที่ยังมีบุตรที่มีอายุมากกว่าอีก 2 คนคือโจผีและโจเจียง
โจผีและโจเจียงเป็นบุตรคนที่ 2 และ3 ส่วนคนแรกคือโจงั่งนั้นได้ตายไปก่อนนานแล้ว ดังนั้นโจผีจึงกลายเป็นคนที่มีอาวุโสสูงสุด และในบุตรชายทั้งหมดนั้นโจผีก็เป็นผู้ที่มีความสามารถสูงทั้งบุ๋นและบู๋ แต่กลับไม่เป็นที่โปรดปรานของโจโฉเท่ากับโจสิดเองก็รู้อยู่เช่นกันว่าบิดดาเอนเอียงไปทางโจสิดมากกว่าซึ่งในระยะแรกๆนั้นก็ไม่ได้ปรากฏว่าระหว่างโจผีและโจสิดมีความบาดหมางกัน จนมาเกิดเรื่องของ"เอียนสี"ขึ้น ความบาดหมางระหว่างพี่น้องจึงเริ่มเกิดขึ้น
สำหรับรายละเอียดเรื่องเอียนสีนี้ผมขอเก็บไว้เล่าในเรื่องของเอียนสีในภายหลังละกันนะ
เอียวสิ้วเป็นคนสนิทของโจสิดจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้โจสิดได้เป็นทายาทผู้สืบทอดอำนาจต่อ การขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มที่ปรึกษาของโจสิดที่มีเอียวสิ้วเป็นหัวหอกหลักกับกลุ่มที่ปรึกษาของโจผีที่มีหวูจื้อเป็นหัวหอกหลักจึงเริ่มขึ้น
จื้อนั้นความจริงเป็นคนต่างด้าว แต่มีความสามารถสูง โจผีจึงยกย่องให้เป็นอาจารย์และคิดจะรับให้มาอยู่ในจวนของตนแต่กลัวว่าความลับจะแพร่งพรายจึงให้หวูจื้อซ่อนตัวมาในลังไม้
เอียวสิ้วทราบข่าวจึงรีบไปบอกโจโฉว่าโจผีสมคบกับคนต่างชาติวางแผนจะคิดร้าย
แต่หวูจื้อก็เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าความรั่วไหลดังนั้นจึงซ้อนแผนหลอกทั้งโจโฉและเอียวสิ้ว โดยบอกให้โจผีสั่งให้ทำลังอย่างเดียวกันขึ้นมาและใส่เสื้อผ้าแพรพรรณเข้ามาบ้านในวันรุ่งขึ้น
เมื่อโจโฉมาตรวจดูตามคำบอกของเอียวสิ้วก็สั่งให้ทหารตรวจค้นลังไม้ ปรากฏว่าพอเปิดออกพบแต่เสื้อผ้า จึงคิดว่าเอียวสิ้วหาเรื่องให้ร้ายโจผีเพื่อให้พ่อลูกเข่นฆ่ากัน ดังนั้นโจโฉจึงชังน้ำหน้าของเอียวสิ้วมากยิ่งขึ้น
กนั้นมีวันหนึ่ง โจโฉคิดจะทดสอบสติปัญญาของโจผีและโจสิดว่าใครจะเป็นยังไงเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกทายาท โดยแอบสั่งความไว้กับนายประตูเป็นความลับ แล้วก็เรียกให้โจผีกับโจสิดมาพบแล้วให้ทั้งคู่ไปทำราชการลับ โดยให้ออกทางประตูเมืองด้านทิศใต้
ีจะไปทำงานตามสั่ง เมื่อไปถึงประตูด้านใต้ นายประตูไม่ยอมให้ออกโดยอ้างว่าโจโฉได้สั่งไว้ ห้ามผู้ใดเดินทางออกนอนกประตูนี้ใครขัดขืนจะถูกตัดหัว โจผีไม่รู้จะทำอย่างไรก็ถอยกลับบ้านไป
พอถึงคราวโจสิด เอียวสิ้วซึ่งเป็นคนชอบสอดรู้ รู้สึกระแคะระคายในความลับนี้ จึงแนะนำโจสิดในการแก้ปัญหา คือเมื่อโจสิดไปถึงประตูทิศใต้แล้ว ฟังคำสั่งห้ามออกของนายประตูก็อ้างว่าโจโฉได้มีคำสั่งใหม่ให้รีบปล่อยตนไป นายประตูหลงเชื่อและเห็นว่าโจสิดเป็นลูกคนโปรดจึงปล่อยให้โจสิดผ่านไปได้
โจโฉเมื่อทราบเรื่องก็พอใจในไหวพริบปฏิภาณของโจสิดมาก คิดว่าโจสิดนั้นฉลาดกว่าโจผี แต่แล้วก็ได้ยินคนปล่อยข่าวว่าโจสิดแก้ปัญหาครั้งนี้ได้ด้วยปัญญาของเอียวสิ้ว ซึ่งว่ากันว่าคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ก็คือตัวเอียวสิ้วเอง เพราะกลัวจะไม่มีใครรู้ว่าตนเองรู้ทันความคิดของโจโฉ
โจโฉถึงกับเหม็นหน้าเอียวสิ้วขนาดหนักและพลอยลดการโปรดปรานในตัวโจสิดไปด้วยที่ไปคบหากับเอียวสิ้วและจากนั้นเมื่อโจโฉมีข้อราชการใดๆที่ขอความเห็นจากโจสิดแล้ว โจสิดก็มักจะนำเรื่องที่บิดาปรึกษาไปถามความเห็นจากเอียวสิ้วอีกต่อหนึ่ง
อันที่จริงถ้าเอียวสิ้วจะให้คำปรึกษาไปมันก็ไม่เป็นไร เพียงแต่หลังจากให้คำแนะนำไปแล้วเขากลับชอบที่จะไปบอกใครต่อใครว่าเรื่องต่างๆที่โจสิดนำไปเสนอต่อโจโฉนั้นเกิดจากปัญญาของตน และเขาจะเขียนคำปรึกษาและข้อเสนอแนะเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเกิดจากปัญญาของตนเอง
เอียวสิ้วเป็นคนฉลาดจริงๆ แต่เป็นคนฉลาดแบบที่ชอบหลงและอวดตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่ถึงขั้นที่ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ความที่ชอบอวดรู้นี่มันทำให้คนที่ได้รับความเดือดร้อนก็คือตัวเขาเองและยังกระเทือนไปถึงโจสิดด้วย
นอกจากนี้บรรดาที่ปรึกษาของโจผีเองก็ร้ายไม่แพ้กัน พวกเขาได้ติดสินบนคนใกล้ชิดของเอียวสิ้วให้ขโมยบรรดาคำปรึกษาที่เอียวสิ้วได้จดบันทึกเอาไว้แล้วมอบให้แก่โจโฉ เมื่อโจโฉรู้เข้าก็โกรธมากและหาทางที่จะจัดการกับเอียวสิ้วทันที่มีโอกาส
และในที่สุดโอกาสก็มาถึงโดยที่โจโฉเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะความอวดรู้ของเอียวสิ้วอีกครั้ง
โจโฉนำทัพปะทะกับเล่าปี่ที่ด่านหยางผิงก่วน โดยในศึกนี้ได้เอาเอียวสิ้วไปด้วยในฐานะปลัดบัญชีกองทัพ เพราะแม้โจโฉจะไม่ชอบหน้าเอียวสิ้วนัก แต่ก็ชื่นชมในสติปัญญาของเขาไม่น้อย
ในการศึกครั้งนี้ทัพของโจโฉประสบสภาวะขาดเสบียงอย่างหนักเราเพราะขงเบ้งวางแผนให้เตียวหุยออกรบแบบกองโจรเข้าปล้นเสบียงของโจโฉ
ในสภาวะที่ขาดเสบียง กำลังขวัญทหารตกต่ำเช่นนี้ต้องมีการปันส่วนอาหารกัน แม้แต่ตัวโจโฉเองก็ยังกินไม่อิ่ม และอาหารที่เขาได้รับการปันส่วนก็คือกระดูกไก่ หรือ"จีเล่ย"
หลายคนเข้าใจว่าเป็นขาไก่ แต่ถ้าเป็นขาไกล่ะก็โจโฉคงจะไม่ออกปากบ่นเป็นแน่ ดังนั้นจีเล่ยในที่นี้คือโครงกระดูกไก่แบบที่เลาะเนื้อออกแล้วเอาไปทำน้ำซุปนั่นเอง
แฮหัวตุ้นซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ได้เข้ามาสอบถามโจโฉภายในค่ายพักถึงการใช้รหัสลับในการผ่านเวรยามในคืนหนึ่ง พอดีกับที่โจโฉกำลังเบื่อโครงไก่อย่างที่สุด จึงตอบแฮหัวตุ้นไปแบบไม่รู้ตัวนักว่า "จีเล่ยๆ"
แฮหัวตุ้นเข้าใจว่านั่นเป็นรหัสลับจึงไปขานบอกต่อๆกัน จนเมื่อเอียวสิ้วได้ยินเข้า ก็แสดงความอวดรู้เช่นเคยและสั่งให้ทหารเตรียมเก็บเสื้อผ้าเพื่อถอนทัพ
แฮหัวตุ้นเห็นเหล่าทหารพากันเก็บเสื้อผ้าก็แปลกใจ พอสอบถามดูจึงรู้ว่าเอียวสิ้วเป็นคนสั่งการเช่นนั้นเขาจึงเข้าไปถามเอียวสิ้วว่าเหตุใดจึงสั่งให้ทหารเตรียมถอยทัพ
เอียวสิ้วยิ้มให้แล้วตอบว่า การที่ท่านโจโฉพูดว่าจีเล่ยย่อมแสดงให้เห็นว่าท่านกำลังเบื่อสุดขีดและอยากจะเลิกทัพกลับโดยเร็ว ไม่เชื่อก็ดูพรุ่งนี้ท่านต้องสั่งถอยทัพแน่ ดังนั้นจึงสังให้ทหารเก็บข้าวของเตรียมไว้ก่อน พอได้รับคำสั่งจะได้เดินทางกลับได้เลยไม่ต้องเสียเวลา
แฮหัวตุ้นจึงชมว่าเอียวสิ้วนี่ช่างรู้ใจนายเสียจริง ว่าแล้วก็กลับไปยังค่ายพักแล้วเก็บของบ้าง
ในคืนนั้นโจโฉรู้สึกนอนไม่หลับ จึงออกมาเดนตรวจตรากองทัพ และพบว่าทหารทุกคนเตรียมเก็บของกันหมดแล้ว ก็รู้สึกแปลกใจ จึงเดินไปที่กระโจมของแฮหัวตุ้นก็เห็นกำลังเก็บของอยู่เหมือนกัน จึงสอบถามว่ามันเรื่องอะไรกัน
แฮหัวตุ้นจึงเล่าให้ฟังว่าเอียวสิ้วเป็นคนแนะนำให้ทุกคนทำแบบนี้ เมื่อโจโฉรู้เข้าจึงโกรธมากและเรียกตัวเอียวสิ้วมาพบในทันที
เมื่อพบหน้าเอียวสิ้วจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เอ็งมันเสือกรู้นัก บังอาจมาทำลายขวัญทหารในยามออกศึกให้เอาแต่คิดถึงการกลับบ้าน กูจะตัดคอมึงซะเพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ว่าแล้วเอียวสิ้วก็สิ้นชื่อนับแต่นั้น
อันที่จริงแล้วเอียวสิ้วถือว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาความสามารถสูงมากคนหนึ่ง ขนาดที่ว่าแม้โจโฉจะไม่ชอบหน้าเขาแต่ก็อดใจไม่ฆ่าหลายครั้งเพราะเสียดายในความสามารถ
น่าเสียดายว่าแม้เอียวสิ้วจะมีปัญญามากแต่กลับเป็นคนมีนิสัยอวดรู้และขาดศิลปะในการอยู่กับผู้นำ แม้ว่าเขาจะเก่งที่อ่านใจของโจโฉออกซะทุกเรื่อง แต่สุดท้ายแล้วกลับดูไม่ออกว่าโจโฉนั้นเกลียดคนประเภทอวดรู้มากที่สุด
หากว่าเอียวสิ้วทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวล่ะก็เขาจะได้ดีกว่านี้มาก เพราะเขาเป็นคนสนิทของโจสิดซึ่งเป็นลูกคนโปรดของโจโฉ และหากเขาใช้ความสามารถที่มีอยู่ของตนเองช่วยเหลือให้โจสิดได้เป็นทายาทล่ะก็ ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์สามก๊กอาจจะถูกเขียนไปอีกแบบก็ได้
แต่ในเมื่อเอียวสิ้วเป็นคนแสนรู้เกินไป แถมคนที่เขาทำแสนรู้ด้วยคือโจโฉ จุดจบแบบนี้ได้จึงเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น