วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก โจผี จื่อหวน

ประวัติสามก๊ก โจผี จื่อหวน

ในสามก๊กนั้น คนที่อ่านหลายๆคนค่อนข้างจะติดภาพว่าผู้ที่ล้มล้างราชวงศ์ฮั่นนั้นก็คือโจโฉ ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองและชักใยฮ่องเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้เอาไว้ แต่บุคคลที่ประวัติศาสตร์ได้ทำการยึดถือและบันทึกไว้จริงๆว่าเป็นผู้โค่นล้มราชวงศ์ฮั่นนั้น เป็นอีกคนหนึ่ง

นั่นคือบุตรชายคนรองของโจโฉ นามว่าโจผี ซึ่งเป็นผู้ปราบดาภิเษกก่อตั้งราชวงศ์วุยขึ้นมา และล้มราชวงศ์ฮั่นลง

โจผีนั้นมีภาพลักษณ์ของความเป็นวีรชนคนโฉดฝังใจนักอ่านสามก๊กและคนที่ชอบประวัติศาสตร์จีนอยู่มาก ในด้านความสามารถและบุคลิกภาพ รวมถึงการแสดงออกต่างๆของโจผีนั้น ก็เป็นไปในทางตัวร้าย หากมองในแง่ของนิยายสามก๊ก เรียกว่าสืบทอดความร้ายมาจากโจโฉผู้เป็นพ่อไม่น้อยทีเดียว แต่ในด้านความสามารถนั้นเขาก็ยังเทียบชั้นไม่ได้ ก็เลยดูเป็นตัวร้ายในระดับรองมากกว่า

แต่ในประวัติศาสตร์จริงๆแล้ว โจผีเป็นตัวร้ายเช่นนั้นหรือไม่ อันที่จริงก็มีด้านดีซึ่งถูกจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ไม่น้อย และจะว่าไปเขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ประเภททรราชย์แต่อย่างใดนัก เมื่อดูจากผลงานหลังจากครองราชย์

งั้นลองไปดูเรื่องราวของพระเจ้าวุยบุ๋นตี้ ผู้ล้มราชวงศ์ฮั่นอย่างเป็นทางการที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กันดู


ประวัติโดยย่อ

โจผี ชื่อรอง จื่อหวน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 187 เป็นบุตรชายคนรองของโจโฉที่เกิดจากนางเปี้ยนสี ณ เจียวจิ้น อันเป็นบ้านเกิดเดียวกับโจโฉผู้เป็นพ่อ

แม้จะเป็นบุตรคนรอง แต่ศักดิ์ฐานะของเขาก็เทียบได้กับบุตรคนโต เพราะบุตรคนโตจริงๆของโจโฉนามว่าโจงั่งซึ่งเป็นบุตรชายของภรรยาอีกคนที่ชื่อนางเล่าซีนั้น ได้เสียชีวิตไปในศึกที่อ้วนเสีย ซึ่งเป็นศึกที่โจโฉเสียรู้ให้แก่กาเซี่ยงจนเกือบตาย และหลังจากนั้นไม่นาน นางเปี้ยนสีก็ได้ถูกยกฐานะจากภรรยารองขึ้นมาเป็นภรรยาเอก เพราะภรรยาเอกของโจโฉคนก่อนหน้า (ขออภัยจำชื่อไม่ได้) ได้หย่าขาดกับโจโฉไป นั่นทำให้ฐานะของโจผีเขยิบขึ้นมาจนกลายเป็นทายาทคนโตและผู้มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลโจต่อไป

โจโฉมีบุตรชายกับนางเปี้ยนสีทั้งหมด 4 คน นั่นคือโจผี โจเจียง โจสิด โจหิม ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่สืบทอดความสามารถในด้านต่างๆมาจากโจโฉ และเชี่ยวชาญกันไปคนละอย่าง

โจเจียงเชี่ยวชาญการรบ ขี่ม้ายิงธนู มีพละกำลังมหาศาล เล่ากันว่าสามารถฆ่าสัตว์ร้ายด้วยมือเปล่าได้ โจสิด เชี่ยวชาญบทกวี มีความสามารถในการแต่งโคลงกลอนได้ในระดับเหล่านักปราชญ์ตั้งแต่ยังวัยรุ่น โจหิม มีพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเด็ก

แต่ในบรรดาบุตรทั้งหมดนั้น โจผีเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้านมากที่สุด เพราะแม้ว่าโจเจียงจะเก่งการศึก ดจสิดจะเก่งเรื่องบทกวี แต่พวกเขาก็ชำนาญเรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เก่งกาจรอบด้าน โจผีจึงเป็นผู้มีภาษีดีสุดในการสืบทอดตระกูลโจ และรวมกับการที่เขาเป็นบุตรคนโตด้วยแล้ว

แต่เพราะเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ทำให้โจโฉไม่ยอมตั้งโจผีเป็นผู้สืบทอดเสียที และโจผีเองก็เกือบจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอด นั่นคือเรื่องของนางเอียนสี

นางเอียนสีเป็นสตรีที่ถูกกล่าวขานว่างดงามที่สุดในสามก๊ก เดิมทีนางเป็นภรรยาของอ้วนฮี บุตรชายคนรองของอ้วนเสี้ยว แต่ตอนที่อ้วนเสี้ยวรบแพ้แก่โจโฉที่กัวต๋อและเสียชีวิตลงหลังจากนั้น โจโฉก็ได้ยกกองทัพเข้าตีที่มั่นของอ้วนเสี้ยวที่เหล่าบุตรของเขาดูแล แต่พวกเขาก็ต้านทานโจโฉไม่ไหว จนต้องหนีขึ้นเหนือไป โจโฉนั้นก็ได้ยกทัพเตรียมเข้าเมืองเยี่ยและตั้งใจจะเอานางเอียนสีผู้นี้มาไว้กับตัว

แต่โจผีนั้นไวกว่า เขาเข้าเมืองไปก่อนโจโฉและเอาตัวนางเอียนสีมาได้ จากนั้นก็รีบขอแก่โจโฉว่าให้ยกนางเอียนสีเป็นภรรยาของเขาเพื่อเป็นรางวัลแก่การศึกแรกของเขา ทำให้โจโฉต้องจุกอก และจำต้องยอมยกนางเอียนสีให้โจผีไป เรื่องคราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจโจโฉมาก ซึ่งค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ ดังนั้นโจโฉจึงยังไม่ยอมมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้เขาเสียที

โจผีเองก็พอจะรู้ตัวว่าโจโฉนั้นไม่พอใจตนเองในเรื่องนี้ และยังคงฝังใจมาตลอด ประกอบกับว่าโจโฉนั้นค่อนข้างจะรักในตัวบุตรคนเล็กอย่างโจสิดมากกว่า เรื่องนี้ทำให้โจผีเริ่มสร้างคะแนนให้แก่ตนเอง ด้วยการทำตัวเป็นบุตรกตัญญูคอยเอาใจใส่มารดา โดยเวลาอยู่ต่อหน้าโจโฉก็จะพยายามแสดงว่ากำลังอ่านตำรา ศึกษาหาความรู้

โจผีนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญรอบด้านอย่างที่เคยกล่าวไป นอกจากการขี่ม้ายิงธนูแล้ว เขายังเชี่ยวชาญในเรื่องวรรณกรรม บทกวีอีกด้วย จริงอยู่ว่าความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านของโจผีอาจไม่ถึงขีดสุด แต่การที่เขาเลือกที่จะให้ตัวเองถนัดรอบด้านแบบนี้มันก็เป็นข้อได้เปรียบสำหรับตำแหน่งผู้สืบทอดอำนาจของโจโฉ เพราะผู้ที่จะเป็นผู้นำนั้นไม่ควรถนัดด้านใดเพียงด้านเดียว

เดิมทีนั้นเหล่าพี่น้องตระกูลโจ ล้วนแต่รักใคร่กันมาก โดยเฉพาะโจผีและโจสิด แต่เพราะการชิงตำแหน่งผู้สืบทอดทำให้ทั้งสองเริ่มไม่กินเส้นกันทีละน้อย และเพราะปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ทั้งสองทวีความไม่ชอบหน้ากันหนักขึ้น นั่นคือเรื่องของนางเอียนสี เพราะโจสิดนั้นแอบหลงรักนางซึ่งมีฐานะเป็นพี่สะใภ้เข้าให้

เรื่องที่โจสิดแอบชอบเอียนสีนั้น โจผีได้แต่เก็บความแค้นนี้ไว้ เพราะโจสิดเป็นลูกคนโปรด อีกอย่างเขาก็ยังไม่ได้เป็นผู้สืบทอด จึงได้แต่รอเวลา จนเมื่อตอนที่โจโฉใกล้ตายและได้ประกาศชื่อผู้สืบทอดว่าเป็นโจผี

เกี่ยวกับสาเหตุที่โจผีได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดนี้ เป็นเพราะพฤติกรรมที่โจผีพยายามแสดงออกให้บิดาและมารดาเห็นว่าเป็นบุตรกตัญญู และส่วนหนึ่งมาจากคำเตือนของกาเซี่ยงที่ได้ให้ไว้กับโจโฉที่ว่า ให้ดูเรื่องของตระกูลอ้วนเป็นบทเรียน เพราะอ้วนเสี้ยวลังเลเรื่องทายาทและคิดจะตั้งบุตรคนเล็กขึ้นมา จึงเกิดศึกสายเลือดขึ้น ในที่สุดโจโฉจึงตัดสินใจมอบตำแหน่งให้โจผีขึ้น เพื่อตัดปัญหา และหากมองตามความเหมาะสมแล้ว โจผีเองก็เหมาะที่สุด

เมื่อประกาศิตนี้ออกมา โจผีจึงได้สืบทอดอำนาจต่อ และลงมือจัดการสะสางบัญชีกับน้องชายทันที

เขาสั่งให้โจสิดแต่งโคลงหน้าพระที่นั่งให้ทันในการเดินเจ็ดก้าว ซึ่งโจสิดก็ทำได้ และโคลงนั้นมีความหมายลึกซึ้งในทำนองที่ว่า ทำไมพี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากัน ทำให้โจผีใจอ่อน แต้ก็ตัดสินใจเนรเทศโจสิดไปยังเมืองกันดาร โดยเมืองที่เนรเทศไปนั้นคือเมืองเอียน ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการประชดอะไรรึเปล่าถึงได้ส่งโจสิดไปอยู่ในเมืองที่มีชื่อเดียวกับชื่อสกุลของเอียนสี

เล่ากันว่าก่อนจะไปนั้นโจผีได้มอบหมอนใบหนึ่งให้และบอกว่าเป็นของที่ระลึกที่เอียนสีได้มอบให้ ก็ปรากฏว่าโจสิดรับหมอนนั้นไว้โดยไม่ได้มีท่าทีกริ่นเกรงโจผีสักนิด ทำให้โจผีระแวงว่าระหว่างเอียนสีและโจสิดต้องมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ

หลังจากนั้น ในปีค.ศ.220 โจผีก็ได้ทำการถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ลงจากบัลลังก์แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าวุยบุ๋นตี้ ก่อตั้งราชวงศ์วุยขึ้น เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และมอบย้อนหลังให้โจโฉผู้บิดาเป็นวุยบู๊ตี้ ย้ายราชธานีไปที่ลกเอี๋ยง เป็นอันเริ่มต้นยุคสามก๊กที่แท้จริง โดยมีวุยก๊กเป็นประเทศแรกที่ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ

และนั่นเท่ากับว่า โจผีไม่ได้เป็นปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์วุย แต่เป็นโจโฉผู้พ่อที่ตัวโจผีได้ตั้งยศย้อนหลังให้ ตรงนี้เป็นลูกเล่นสำคัญของทั้งสองพ่อลูก

กล่าวคือ ตัวโจโฉนั้นมีการแสดงออก และพฤติกรรมต่างๆที่ส่อไปในทางที่ต้องการล้มราชวงศ์ฮั่นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะการเข้ามากุมอำนาจในการปกครองและการบริหารบ้านเมืองโดยไม่คืนอำนาจให้แก่ฮ่องเต้ รวมถึงการยอมรับยศงุยก๋งที่สามัญชนไม่อาจได้ รวมถึงการแสดงออกต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่คิดต่อต้านตนเอง เพียงแต่ตัวโจโฉย่อมไม่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นกบฏที่ทำการล้มล้างราชวงศ์เดิมเท่านั้น

จะว่าไป การล้มล้างราชวงศ์เก่าเพื่อก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ มันก็เป็นของตายในประวัติศาสตร์จีนอยู่แล้วที่ว่าใครมีอำนาจ ผู้นั้นเป็นเจ้า เพียงแต่ในความรู้สึกของผู้คนนั้นยึดติดอยู่กับราชวงศ์ฮั่นไม่มากก็น้อย และอีกประการคือโจโฉได้อำนาจปกครองโดยอาศัยการเข้ามากอบกู้ราชวงศ์ฮั่นโดยการคุ้มครองฮ่องเต้ หากจะมาล้มล้างในภายหลัง มันก็เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของเขาต้องเสื่อเสียลง

อันที่จริงแล้ว ตัวโจโฉก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจกับภาพลักษณ์ตนเองมากเท่าไร เมื่อเทียบกับเล่าปี่ เพียงแต่การนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้นั้น สำหรับตัวโจโฉมันคงไม่ได้มีค่ามากมายอะไร เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้ เขาก็มีอำนาจล้นฟ้าเหนือยิ่งกว่าฮ่องเต้อยู่แล้ว ทุกคนในวุยก๊กเองต่างก็ยอมรับโจโฉเป็นผู้นำของตนมากกว่าตัวฮ่องเต้ ดังนั้นการจะปลดฮ่องเต้หรือล้มล้างราชวงศ์หรือไม่นั้น สำหรับโจโฉซึ่งขณะนี้ก็อายุมากแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ

แต่กับโจผีนั้นผิดกัน เขาไม่ได้มีพันธะผูกพันกับราชวงศ์ฮั่นเช่นเดียวกับโจโฉ เขาไม่ได้เป็นขุนนางเก่าของฮั่น หรือมีสำนึกว่าเป็นข้าใต้บาทของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และอีกอย่างหนึ่ง ตัวเขาก็ไม่ได้มีผลงานการปราบปรามศัตรูและรวบรวมดินแดนเช่นเดียวกับโจโฉ อำนาจที่เขารับสืบต่อมานี้ คืออำนาจที่โจโฉทิ้งไว้ให้ การที่เขาจะสามารถยืนหยัดต่อกรกับเหล่าผู้กล้าของแผ่นดินที่ยังหลงเหลือเช่นเล่าปี่หรือซุนกวนซึ่งต่างก็มีบารมีและเหนือชั้นกว่าตัวเขาได้นั้น เขาก็จำต้องสร้างบารมีและอำนาจที่แท้จริงของตนขึ้นมา และนั่นก็คือที่มาของการปราบดาภิเษกตนเป็นฮ่องเต้และล้มล้างราชวงศ์ฮั่น

หลังจากเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ได้คิดจะทำการบุกง่อก๊ก แต่กองทัพวุยก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า แถมยังเสียขุนพลสำคัญอย่างเตียวเลี้ยวไปอีก นั่นทำให้โจผีขยาด และคิดว่าตอนนี้แม้วุยจะมีกำลังทหารสูงสุดในสามก๊ก แต่ก็ไม่อาจจะตีก๊กที่เหลือให้แตกได้ จึงเลิกคิดเรื่องการรบและหันมาเอาดีด้านการปกครองแทน โดยเฉพาะเรื่องวรรณกรรมที่โจผีได้เปิดโลกใหม่ของวงการวรรณกรรมเลยทีเดียว ด้วยการแต่งวรรณกรรมในรูปแบบร้อยแก้ว รวมไปถึงการวิจารณ์วรรณกรรมที่ทำให้ผู้คนรุ่นหลังยกย่องโจผีเป็นบิดาของวรรณกรรมแบบร้อยแก้วของจีน

ส่วนเอียนสีนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีซึ่งตอนที่พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาหรือมเหสีนั้น ทรงมีพระชนมายุถึง 38 ปีแล้ว ทั้งที่ในวังเต็มไปด้วยคำครหาและเสียงนินทาในเรื่องที่ว่าเธอยังมีความผูกพันทางใจกับโจสิด แต่ถึงกระนั้นโจผีก็ยังคงให้นางเป็นฮองเฮา และในภายหลังโจยอยบุตรที่เกิดกับนางเพียงคนเดียวก็ได้เป็นรัชทายาทและกลายเป็นฮ่องเต้สืบต่อมา ทั้งที่โจผีเองก็มีเมียอยู่อีกหลายคนที่ยังอายุน้อยกว่า ลูกก็ยังมีอีกมากมาย นั่นแสดงให้เห็นว่า นางเอียนสีต้องมีความงามและคุณงามความดีอยู่มากจริงๆ ทำให้โจผียังอาลัยรักอยู่

มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับความผูกพันที่โจผียังคงมีให้เอียนสีแม้ว่าจะตายไปหลายปีแล้วอย่างหนึ่ง นั่นคือครั้งหนึ่ง โจผีได้พาโจยอยซึ่งเริ่มจะโตแล้วออกไปล่าสัตว์ และได้ทรงพบกวางแม่ลูกคู่หนึ่ง จึงใช้ธนูยิงกวางตัวแม่ จนตายไป และสั่งให้โจยอยยิงกวางตัวลูก

แต่โจยอยไม่ยิง โดยบอกว่าท่านพ่อฆ่าแม่มันไปแล้ว ยังจะฆ่าลูกอีกหรือ ซึ่งคาดว่าคำพูดนี้คงจะทำให้โจผีเกิดสะท้อนใจและรำลึกถึงเอียนสีขึ้นมา จึงสั่งเลิกการล่าสัตรว์ในวันนั้น และหลังจากนั้นจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้โจยอยเป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ

เกี่ยวกับโจยอยนี้ โจผีเคยระแคะระคายว่าจะไม่ใช่ลูกของตน เพราะหลังจากที่เขาได้นำเอาเอียนสีมาเป็นเมียหลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกนั้น นางก็ได้ให้กำเนิดโจยอยออกมาหลังจากนั้น 7-8 เดือน ตอนแรกโจผีไม่ได้คิดอะไร แต่ภายหลังอาจเพราะการใส่ไฟของนางกวัวฮองเฮา ทำให้โจผีคิดว่าโจยอยเป็นลูกติดท้องของเอียนสีมาตั้งแต่สมัยที่เป็นเมียของอ้วนฮี

แต่ข้อสรุปนี่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ เพราะสุดท้ายโจยอยก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ที่สามนามว่าพระเจ้าวุยหมิงตี้ หลังจากโจผีตายลงในปีค.ศ. 227 รวมสิริอายุได้ 40 ปี

จะว่าไปโจผีก็เป็นฮ่องเต้ที่ครองราชย์ได้สั้นพอดู เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ยังผลสะเทือนอย่างไม่มีใครคาดคิดในเวลาต่อมา เพราะการที่โจผีไม่มุ่งด้านสงคราม ทำให้อำนาจการทหารไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้นำเหมือนสมัยโจโฉ แต่ตกเป็นของขุนนางเชื้อพระวงศ์ ซึ่งในยุคนั้นเป็นของโจจิ๋น แต่เพราะเหล่าเชื้อพระวงศ์ยุคหลังไม่ได้เก่งกล้าเช่นเดียวกับสมัยของพวกแฮหัวตุ้น หรือโจหยิน ทำให้สุดท้ายอำนาจการบัญชากองทัพแนวหน้าตกไปเป็นของคนนอกตระกูลโจอย่างสุมาอี้ และนั่นส่งผลให้สุมาอี้มีอำนาจสะสมมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นภัยต่อตระกูลโจในภายหลัง

และลูกหลานตระกูลสุมาก็ได้ทำแสบกับลูกหลานตระกูลโจมากทีเดียว จะว่าไปมันก็เช่นเดียวกับที่โจผีได้ทำไว้กับเชื้อพระวงศ์ฮั่นก็ว่าได้

แต่แม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ล้มราชวงศ์ฮั่น ในทางประวัติศาสตร์ก็ได้ทำการยอมรับเขาเป็นฮ่องเต้ที่แท้จริงของแผ่นดินจีนในยุคหลังจากฮั่นตะวันออก ในนามของราชวงศ์วุยฮั่น เพราะในบรรดาก๊กทั้งหมด วุยมีดินแดน และแสนยานุภาพทางทหารสูงสุด และที่สำคัญคือวุยมีศูนย์อำนาจปกครองอยู่ที่ภาคกลางและภาคเหนือของจีน หรือก็คือตงง้วนนั่นเอง โดยคนจีนนั้นถือคติว่าผู้ใดปกครองตงง้วน ผู้นั้นก็คือผู้ปกครองตัวจริง ดังนั้นในทางประวัติศาสตร์แล้ว จึงยอมรับโจผีเป็นฮ่องเต้ที่แท้จริงหลังจากแผ่นดินแบ่งเป็นสามก๊ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น