วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติสามก๊ก โจหอง จื่อเหลียน

โจหอง ชื่อรอง จื่อเหลียน เกิดเมืองพ่าย(ปัจจุบันคือ เมืองปอโจวในมณฑลอันฮุย) มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของโจโฉ ช่วงที่โจโฉแยกตัวออกจากทัพพันธมิตรอีก 17หัวเมือง เพราะจะตามไปไล่ตีทัพตั๋งโต๊ะ ที่กำลังหนีไปเมืองฉางอัน ในตอนนั้นทัพของโจโฉถูกซ้อนกลและโดนตีขนาบสองข้าง ที่เมือง เอ๊งหยง ปรากฏว่าโจโฉพ่ายแพ้ยับเยิน ตัวโจโฉเองพลัดหลงกับทหารเอก และกำลังอยู่ในที่คับขันเพราะม้าถูกยิงตาย อีกทั้งมี ซีเอ๋ง ลูกน้องตั๋งโต๊ะ ไล่ติดตามมา โจหองได้ตีฝ่าข้าศึกเข้ามาช่วยโจโฉ และยังสละม้าในโจโฉขี่ (ตัวเองเดินเท้า) โจโฉไม่ยอมในทีแรก แต่โจหองพูดว่า “โลกนี้ขาดโจหองได้ แต่ต้องไม่ขาดโจโฉ” โจหองได้ติดตามโจโฉไปที่แม่น้ำเปียน ซึ่งได้พบว่าน้ำลึกมากจนไม่มีที่ข้ามไปได้ เขาจึงเดินเสาะหาเรือตามตลิ่งจนพบ และใช้เรือข้ามแม่น้ำหลบหนีไปเมืองพ่ายบ้านเกิด

หลังจากนั้น โจหองได้อาศัยความเป็นสหายกับ เฉินเหวิน เจ้าเมืองหยางโจว (เอ็งจิ๋ว) เพื่อนำบริวารกว่าพันคนไปเกณฑ์คนในดินแดนปกครองของ เฉินเหวิน เข้ากองทัพโจโฉ ที่แม่น้ำ ลู่ เขาเกณฑ์กองทหารติดเกราะได้ 2,000 คน และมุ่งหน้าไปทางตะวันออกสู่เมือง ตันหยาง เขาเกณฑ์คนเพิ่มได้อีกหลายพันคน ก่อนที่จะมารวมทัพกับโจโฉที่เมือง หลงคัง

ในช่วงที่โจโฉกำลังโจมตีโตเกี๋ยม เจ้าแคว้นชีจิ๋ว เตียวเมา (จริงๆน่าจะเป็น เตียวเมี่ยวที่เป็นน้องชาย เพราะเตียวเมาถูกเล่าต้ายฆ่าตายตั้งแต่ตอนผิดใจกันหลังทัพพันธมิตรสลาย) ได้จับมือกับลิโป้ก่อกบฏต่อโจโฉ เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเกิดทุพภิกขภัยขนานใหญ่ ในแถบนั้น โจหองได้นำทหารไปยึดเมืองตงผิง และฟ่านเพื่อรวบรวมข้าวสารและอาหารไปหล่อเลี้ยงกองทัพ ทำให้โจโฉสามารถรบชนะเตียวเมาและลิโป้ที่เมืองปักเอี๊ยง ตัวลิโป้ต้องหนีเตลิดไปพึ่งเล่าปี่ที่ชีจิ๋ว ในช่วงที่โจโฉทำการยึดเมืองคืน โจหองได้โจมตีและสามารถยึดเมืองคืนมาได้สิบกว่าเมือง (เช่น จี้หยิง , ซานหยาง , จงโหมว , หยางเว่อ , จิง และ มี่)

ความดีความชอบในการศึกเหล่านั้น ทำให้โจหองได้รับตำแหน่ง นายพันอินทรีผงาด และเลื่อนขั้นเป็น นายพลประจักษ์กล้า เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ฮูโต๋ ได้แต่งตั้งให้โจหองเป็นมหาดเล็กหลวง (เจียงยี่ ต้าฝู่) หลังจากนั้นโจหอง ได้เข้าร่วมปฏิบัติการรบกับทางเล่าเปียว โจหองรบชนะขุนพลของเกงจิ๋วที่เมือง อู๋หยาง , หยินเย่ , ตู้หยาง และ ป๋อหวาง ทำให้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ขุนพลกระพือขวัญ และกินบรรดาศักดิ์ เป็นพระยาแห่งจังหวัด กว่อหมิง เขาได้ต่อสู้ภายใต้ร่มธงของโจโฉมาหลายสมรภูมิ และได้รับการเลื่อนขั้นตามลำดับ เป็นขุนพลพิทักษ์เมืองหลวง

ในการรบที่ด่านถงกวน (ตงก๋วน) ซึ่งม้าเฉียวยกทัพมาแก้แค้นให้ม้าเท้ง โจหองได้รับคำสั่งให้ไปตั้งรับขัดตาทัพที่ถงกวน (โดยให้ตั้งรับอย่างเดียว รอโจโฉมาเสริมกำลังก่อน) เพราะโจโฉขณะนั้นกำลังเตรียมการบุกซุนกวนแถวๆ เมืองหับป๋า แต่ม้าเฉียวและหันซุยใช้การด่าโคตรเหง้าของโจโฉ หลายวันเข้าโจหองทนไม่ได้ ยกทัพออกมาต่อสู้ด้วย และถูกม้าเฉียวอ้อมทัพไปตีขนาบสองข้างจนพ่ายแพ้ ซิหลงได้ตามมาแก้ไขโจหองหนีไปได้ เหตุการณ์นี้ทำให้โจโฉโกรธโจหองมากจนถึงขั้นจะประหาร แต่ได้ขุนพลต่างๆขอไว้อย่างไรก็ดี ตอนที่โจโฉเสียทีม้าเฉียวเช่นกัน ก็ได้โจหองมาช่วยชีวิตอีกครั้งหนึ่ง โจโฉรู้สึกซาบซึ้งมาก จึงไม่ถือเอาโทษครั้งก่อนในที่สุด

ในตอนที่เว่ยเหวินตี้ (โจผี) สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ เริ่มต้นศักราช หวงชูปีที่ 1 (ค.ศ. 220) โจหองได้รับตำแหน่งนายพลองครักษ์ (เว่ยเจียงจวิน) , นายพลทัพม้าเร็ว (เผี่ยวจี้เจียงจวิน) ซึ่งถือเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มักมอบให้แก่เชื้อพระวงศ์หรือขันทีคนสนิท ข้อมูลจากกระทู้ยศทหารในสามก๊ก โดยพี่ซุนเซ็ก) ที่ดินศักดินาก็ได้รับเพิ่มอีก 1,000 ครัวเรือน จากของเดิม 2,100 ครัวเรือน (ถือว่าเยอะมากๆแล้วในสมัยนั้น) หลังจากนั้นก็ได้เลื่อนยศเป็นพระยาแห่งเมือง ตู้หยาง

โจหองค่อนข้างมั่งคั่งและมีฐานะมาก แต่ตัวโจหองเองกลับเป็นคนมัธยัสถ์สุดๆ (ถึงขั้นตระหนี่) จึงมีเหตุบาดหมางกับโจผี ในตอนที่โจผียังหนุ่ม ได้ไปขอยืมเงินจากโจหอง แต่โจหองปฏิเสธที่จะให้ ทำให้โจผีผูกใจเจ็บแค้นมาตลอด มาสบโอกาสเอาคืนในตอนที่ลูกน้องโจหอง (บางฉบับว่า เป็นอาคันตุกะในบ้านโจหอง) กระทำผิดกฎหมาย โจผีเลยถือเป็นเหตุยัดข้อหาให้โจหองต้องติดคุก และตัดสินโทษประหาร ขุนนางทั้งปวงพยายามทัดทาน แต่ก็ไม่เป็นผล ในตอนนั้นโจจิ๋น (คู่กรณีอีกคนของโจหอง) ก็อยู่ในเหตุการณ์ จึงวิงวอนโจผีด้วย ความว่า “ถ้าฝ่าบาทตัดสินโทษประหารแก่โจหอง โจหองจะต้องคิดว่าเป็นข้าที่เพ็ดทูลพระองค์แน่” โจผีโต้ตอบว่า “ขอให้วางใจ ทุกอย่างข้ารับไว้คนเดียวเอง” แต่ฮองเฮาเปียนสี ได้ขัดขึ้นมาว่า “ในละแวกดินแดนเหลียง และ เป่ย ถ้าไม่ได้โจหองรักษาไว้ ก็ไม่มีท่านในวันนี้เป็นแน่” และหลั่งน้ำตาวิงวอนให้โจผีปล่อยโจหอง จนโจผียินยอมในที่สุด แต่ให้คงโทษปลดออกจากตำแหน่งทั้งปวงและยึดที่ดินศักดินาคืน เหตุการณ์นี้สร้างความช้ำใจแก่โจหองมาก (ขณะนั้นโจหองอายุได้ 51 ปี) ที่ถูกกันออกจากสถานะที่เคยเป็นอยู่

ภายหลังสิ้นแผ่นดินโจผี รัชทายาทโจยอยได้ขึ้นครองบัลลังก์ จึงยกโจหองเป็นแม่ทัพหลัง (โฮ่วเจียงจวิน) และเลื่อนยศศักดินาแบบก้าวกระโดดเป็นพระยาแห่ง เล่อฉาง กินที่ดินศักดินาจำนวน 1,000 ครัวเรือน หลังจากนั้น โจหองก็ได้เลื่อนตำแหน่งกลับเป็นนายพลทัพม้าเร็ว (เผี่ยวจี้เจียงจวิน) แต่เป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ ตั้งไว้เพื่อเป็นเกียรติเท่านั้น เขาเสียชีวิตด้วยโรคชราในศักราชไท่เหอที่ 6 (ค.ศ. 232) จึงได้รับบรรดาศักดิ์พระราชทานเป็นพระยาสรรเสริญ

ผู้สืบทอดของโจหองคือ เฉาฝู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่ ได้แบ่งที่ดินศักดินาของโจหองส่วนหนึ่งให้ลูกของเขา โจจิ๋น เป็นพระยา และญาติอีกคนของโจหอง ชื่อ โจฮู เป็นคนสุภาพ ระมัดระวังตัว และเคารพในกฎระเบียบ เขาได้รับตำแหน่งเป็นถึง นายพลองครักษ์ (เว่ยเจียงจวิน) และเป็นพระยา(โหว) ด้วย

นิสัยส่วนตัวของโจหองนอกจากจะตระหนี่แล้ว ยังเป็นคนที่ชอบอวดอ้างวีรกรรมครั้งก่อนๆ ให้ผู้อื่นฟัง เพื่อให้มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของตน และยังชอบพูดจายั่วโทสะ โจจิ๋น ญาติอีกคนหนึ่งของโจโฉ ว่าเป็นพวกน้ำหนักเกิน (หมูตอนนั่นเอง) พฤติกรรมเหล่านี้ ได้ถูกเอียวฮู (ผู้เป็นหนึ่งในคณะมนตรีของแคว้นเว่ย) ตักเตือนอยู่เนืองๆ

ในฉบับนิยาย โจหองเป็นตัวละครประเภทตัวประกอบเสียส่วนใหญ่ โจหองเปิดตัวพร้อมๆกับ ญาติโจโฉ อย่าง แฮหัวตุ้น , แฮหัวเอี๋ยน และโจหยิน แต่โจหองเป็นผู้ที่มีบทบาทน้อยที่สุด ฉากเด่นๆ มีเพียง การช่วยชีวิตโจโฉจากซีเอ๋ง และ การรบแพ้ที่ด่านถงกวน แต่ช่วยชีวิตโจโฉอีกครั้งเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เป็นแม่ทัพรอง หรือไม่ก็เป็นขุนพลคุมทัพหลัง หรือไม่ก็เป็นขุนพลที่ไปตรึงกำลังเท่านั้น แต่เรื่องผิดใจกับโจผี มีบันทึกตรงกันทั้งในฉบับประวัติศาสตร์ และฉบับนิยาย อีกทั้งสาเหตุการตายก็เหมือนกันคือ แก่ตาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น